สถาบันเพื่อการลงทุนแห่งสหรัฐอเมริการายงานว่า นักลงทุนแห่ถอนเม็ดเงินทุนออกจากตลาดหุ้นและกองทุนรวมพันธบัตรสหรัฐในเดือนต.ค.เป็นมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 1.27 แสนล้านดอลลาร์ เนื่องจากนักลงทุนต้องการเทขายหุ้นเพื่อถือเงินสดไว้ในยามที่เศรษฐกิจผันผวนและไร้ทิศทาง
ข้อมูลระบุว่า การแห่ถอนเงินลงทุนในเดือนต.ค.ส่งผลให้สินทรัพย์ของกองทุนรวมพันธบัตรร่วงลงแตะระดับ 9.6 ล้านล้านดอลลาร์ ณ วันที่ 31 ต.ค. หรือลดลง 22% จากเดือนพ.ค.ที่ระดับ 12.3 ล้านล้านดอลลาร์
ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงรุนแรงที่สุดในรอบเกือบ 80 ปีในปีนี้ ส่งผลให้นักลงทุนปลีกตัวออกจากตลาดหุ้นและหันเข้าซื้อตราสารหนี้ในตลาดเงิน เพราะมองว่าตราสารประเภทนี้มีความเสี่ยงน้อยกว่าตลาดหุ้น โดยในปีนี้ ดัชนี S&P 500 ร่วงลง 52% ซึ่งถือเป็นสถิติที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ปีพ.ศ.2474 ขณะที่ดัชนี MSCI World Index ร่วงลง 47%
กระแสการแห่ถอนเงินลงทุนออกจากตลาดหุ้นนิวยอร์กมีขึ้นหลังจากเลห์แมน บราเธอร์ส ประกาศล้มละลาย และรัฐบาลทั่วโลกประกาศใช้มาตรการยับยั้งการล้มละลายของธนาคารรายใหญ่ นอกจากนี้ ธนาคารกลางทั่วโลกยังพร้อมใจกันลดดอกเบี้ยและอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงินเพื่อไม่ให้สถาบันการเงินภายในประเทศได้รับผลกระทบจากการล้มละลายของเลห์แมน บราเธอร์ส สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน