แบงก์ ออฟ อีสต์ เอเชีย (Bank of East Asia Ltd.) ธนาคารผู้ปล่อยกู้รายใหญ่ของฮ่องกงรายงานผลประกอบการขาดทุนครั้งแรกในรอบ 40 ปี หลังธนาคารปรับลดมูลค่าทางบัญชีด้านการลงทุนในตลาดสินเชื่อ
ธนาคารเปิดเผยว่า ผลประกอบการในรอบ 6 เดือนที่สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธ.ค.2551 หลังหักลบกับผลประกอบการครึ่งปีแรกนั้นปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 855 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (110 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เมื่อเทียบกับผลกำไรที่ 2.26 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกงในปีก่อนหน้านี้
เดวิด ลี ประธานของธนาคารกล่าวว่า ทางธนาคารจะเร่งใช้มาตรการปรับลดต้นทุนโดยเร็วหลังจากที่ตัวเลขค่าใช้จ่ายในปีที่ผ่านมาพุ่งสูงขึ้น 23% ส่วนตัวเลขหนี้เสียเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า ขณะที่หุ้นของธนาคารดำดิ่งลง 61% ในปีที่แล้ว
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์จาก Core-Pacific Yamaichi International Ltd. กล่าวว่า "การควบคุมค่าใช้จ่ายอาจไม่ใช่วิธีที่ดีนัก แต่จากตัวเลขที่พุ่งสูงขึ้น 23% นั้นเป็นระดับที่สูงเกินไป ขณะที่การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเงินกู้มากขึ้นก็ยังเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วง"
นอกจากนี้ ยอดขาดทุนจากการตั้งสำรองด้อยค่าของสินทรัพย์ในปีที่ผ่านมาพุ่งสู่ระดับ 558 ล้านดอลลาร์ฮ่องกงจากระดับ 216 ล้านดอลลาร์ฮ่องกงในปี 2550 ส่งผลให้ตัวเลขของสินทรัพย์ด้อยค่ารวมทั้งหมดพุ่งแตะที่ 948 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานอ้างการเปิดเผยของธนาคารกลางฮ่องกงที่มีขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ธนาคารเผชิญช่วงเวลาที่ยากลำบาก เนื่องจากอัตราเงินกู้ชะลอตัว ขณะที่อุปสงค์การลงทุนลดลง โดยลีกล่าวว่า "ปรากฏการณ์สึนามิทางการเงินที่ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจทั่วโลกในเดือนก.ย.2551 ยังคงเป็นต้นเหตุที่ทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจซบเซา ซึ่งภาวะเช่นนี้จะดำเนินต่อเนื่องไปตลอดทั้งปี 2552"