โจชิม วอน อัมส์เบิร์ก เจ้าหน้าที่ตัวแทนธนาคารโลกประจำอินโดนีเซีย เชื่อมั่นว่า อินโดนีเซียซึ่งมีเศรษฐกิจที่ขยายตัวรวดเร็วเป็นอันดับ 3 รองจากจีนและอินเดีย มีแนวโน้มที่จะก้าวขึ้นเป็น "ผู้นำทางเศรษฐกิจ" ของโลก หลังจากสามารถหลีกเลี่ยงวิกฤตการณ์การเงินโลกได้ โดยคาดว่าเศรษฐกิจอินโดนีเซียมีโอกาสขยายตัวได้กว่า 7% ทันทีที่ประธานาธิบดีซูซิโล บัมบัง ยุดโยโน่ เดินหน้าโครงการสร้างถนน ท่าเรือ และโรงงานไฟฟ้า เพราะปัจจุบันถนนหนทางในอินโดนีเซียอยู่ในสภาพติดขัด ท่าเรือที่ล้าสมัย และโรงงานไฟฟ้ามีอายุเก่าเกินไป
กระแสคาดการณ์ในวงกว้างเชื่อว่า ยุดโยโน่จะคว้าชัยชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีอินโดนีเซียเป็นสมัยที่สอง ซึ่งจะเปิดทางให้เขาทุ่มงบประมาณการใช้จ่ายเพิ่มเป็น 2 เท่าถึง 1.40 แสนล้านดอลลาร์ภัยในปีพ.ศ.2557 และจะช่วยพยุงประชาชนกว่า 33 ล้านคนให้หลุดพ้นจากความยากจน
"เศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ประกอบกับการมีวุฒิภาวะในการใช้ระบอบประชาธิปไตย จะช่วยให้อินโดนีเซียสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำโดดเด่นที่สามารถเอาชนะวิกฤตเศรษฐกิจโลกได้ และแสดงให้เห็นว่าอินโดนีเซียเป็นประเทศระดับแนวหน้าของโลกในขณะนี้ นอกจากนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียยังรุกคืบด้วยการรับประกันเงินฝาก เพิ่มความร่วมมือกับธนาคารกลาง และสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคการธนาคารเพื่อให้สามารถรับมือกับวิกฤตสินเชื่อทั่วโลกได้" อัมส์เบิร์กกล่าวสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เศรษฐกิจอินโดนีเซียขยายตัวราว 4.4% ในไตรมาสแรกของปีนี้ เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจมาเลเซียที่หดตัว 6.2% และประเทศไทยหดตัว 7.1% นอกจากนี้ ธนาคารกลางอินโดนีเซียได้ลดอัตราดอกเบี้ยลงแล้วทั้งสิ้น 2.7% นับตั้งแต่เดือนธ.ค.เป็นต้นมา