สิงคโปร์ และฮ่องกง และสหรัฐอเมริกา ได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีอัตราการแข่งขันทางเศรษฐกิจสูงสุด 3 อันดับแรกของโลก นับเป็นครั้งแรกในรอบกว่าสิบปีที่สิงคโปร์และฮ่องกง ซึ่งรั้งอันดับ 1 และ 2 ตามลำดับ มีอันดับเหนือกว่าสหรัฐอเมริกาที่อยู่ในอันดับ 3 ปีนี้
สถาบันไอเอ็มดี (IMD) ซึ่งเป็นโรงเรียนธุรกิจชื่อดังของสวิตเซอร์แลนด์ ได้เผยแพร่รายงานประจำปีว่าด้วยขีดความสามารถด้านการแข่งขันในเวทีโลก (World Competitiveness Yearbook) ซึ่งจัดขึ้นมาเป็นประจำทุกปีตั้งแต่พ.ศ.2531 โดยในปีนี้ทางสถาบันฯได้เปรียบเทียบขีดความสามารถด้านการแข่งขันของ 58 ประเทศหรือเขตเศรษฐกิจ ตามหลักเกณฑ์กว่า 300 ข้อ ซึ่งเป็นการประเมินจากปัจจัยทางเศรษฐกิจที่สำคัญ 4 ประการ ได้แก่ ความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจ ประสิทธิภาพการทำงานของรัฐบาล ประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ และระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน
รายงานดังกล่าวระบุว่า สหรัฐอเมริกาสามารถต้านทานความเสี่ยงจากวิกฤตเศรษฐกิจและการเงินได้ ด้วยเหตุที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งในธุรกิจ และความสุดยอดในด้านเทคโนโลยี
ขณะที่สิงคโปร์และฮ่องกงมีความยืดหยุ่นสูงในการรับมือวิกฤต แม้ว่าเศรษฐกิจของประเทศเผชิญกับความผันผวนในระดับสูง โดยตอนนี้สิงคโปร์และฮ่องกงกำลังได้เปรียบอย่างเต็มที่จากการขยายตัวแข็งแกร่งทั่วภูมิภาคเอเชีย
รายงานดังกล่าวระบุว่าแม้เป็นครั้งแรกที่สิงคโปร์และฮ่องกงมีอันดับเหนือสหรัฐ แต่ทั้งสามประเทศก็สูสีกันมากจนอาจเรียกได้ว่า เป็นสามผู้นำ
ส่วนอันดับ 4 ยังคงเป็นสวิตเซอร์แลนด์ ด้วยปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง (ยอดขาดดุล หนี้ เงินเฟ้อ และอัตราว่างงานต่ำมาก) และการที่ประเทศสามารถเอาตัวรอดได้ในตลาดส่งออก
สำหรับประเทศอื่นๆที่ติดทำเนียบ 10 อันดับสูงสุด ประกอบด้วย ออสเตรเลีย สวีเดน แคนาดา ไต้หวัน นอร์เวย์ และมาเลเซีย ตามลำดับ
ด้านเยอรมนี รั้งอันดับ 16 ซึ่งสูงกว่าบรรดาประเทศเศรษฐกิจ "ดั้งเดิม" (traditional) อื่นๆ ได้แก่ อังกฤษ (22) ฝรั่งเศส (24) ญี่ปุ่น (27) และอิตาลี (40)
ขณะที่จีนมีอันดับสูงสุดในบรรดาประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่อันดับ 18 ตามมาด้วยอินเดีย (31) บราซิล (38) และรัสเซีย (51) โดยรายงานระบุด้วยว่า ขณะที่จีนและอินเดียรอดพ้นจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยมาได้ แต่บราซิลและรัสเซียได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ร่วงลง อย่างไรก็ดี เนื่องด้วยเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวในทิศทางขาขึ้น อนาคตของประเทศเหล่านี้จึงสดใสมาก เนื่องจากความต้องการในประเทศ โครงการสาธารณูปโภคพื้นฐาน และการลงทุนที่เพิ่มสูงขึ้น