สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อคืนนี้ (22 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนแห่เข้าซื้อสัญญาทองคำอย่างหนาแน่น หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศความพร้อมที่จะใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing) หรือ QE ด้วยการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงิน ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์อ่อนตัวลงและจะเป็นปัจจัยหลักที่หนุนสัญญาทองคำทะยานขึ้น
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 17.80 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,292.10 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,287.50 - 1,298.00 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 41.50 เซนต์ ปิดที่ 21.055 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 8.4 เซนต์ ปิดที่ 3.5650 ดอลลาร์/ปอนด์
ส่วนสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค.พุ่งขึ้น 20.50 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,632.90 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 11.85 ดอลลาร์ ปิดที่ 541.90 ดอลลาร์/ออนซ์
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาทองคำเพราะเชื่อว่าสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนค่าลงอีก หลังจากคณะกรรมการเฟดยืนยันว่า เฟดมีความพร้อมที่จะใช้มาตรการ QE ด้วยการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ตลาดการเงินผ่านการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยรองรับ (MBS) ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะสร้างแรงกดดันให้กับสกุลเงินดอลลาร์ แต่จะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดทองคำ เนื่องจากการอ่อนค่าของดอลลาร์จะทำให้ราคาทองคำที่ซื้อขายในรูปสกุลเงินดอลลาร์มีราคาถูกลงสำหรับนักลงทุนที่ถือสกุลเงินอื่น
นอกจากนี้ สัญญาทองคำ COMEX ยังได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนเทขายหุ้นในตลาดนิวยอร์ก และหันมาถือครองทองคำเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลตลาดที่อยู่อาศัยที่อ่อนแอ และเฟดไม่ได้ประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในการประชุมครั้งล่าสุด พร้อมทั้งแสดงมุมมองที่เป็นลบต่อภาวะเศรษฐกิจ โดยเฟดระบุว่าอัตราการฟื้นตัวของผลผลิตและการจ้างงานในสหรัฐชะลอตัวลงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ขณะที่ตัวเลขการใช้จ่ายภาคครัวเรือนค่อยๆปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังคงถูกจำกัดด้วยอัตราว่างงานที่อยู่ในระดับสูง