PRANDA ตั้งเป้ารายได้ปี 54 โต 8% รักษาอัตรากำไรขั้นต้น 34-35%เท่าปีนี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday December 14, 2010 10:53 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางประพีร์ สรไกรกิตติกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แพรนด้า จิวเวลรี่ (PRANDA) เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้ารายได้ปี 54 เติบโต 8% จากปี 53 ที่คาดว่ารายได้จะเป็นไปตามเป้าหมาย 4 พันล้านบาท หรือเติบโต 12% จากปี 52 และในปีหน้าบริษัทจะรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้น(gross profit margin)ให้ใกล้เคียงปีนี้ที่ระดับ 34-35%

สำหรับรายได้ในปีนี้คาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมาย เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทฯเน้นพัฒนาสินค้าภายใต้แบรนด์ของตนเองมากขึ้น และมีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่อง ทำให้คาดว่าสัดส่วนยอดขายสินค้าภายใต้แบรนด์ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น 50% ในอีก 2 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันอยู่ที่ 30% ประกอบกับบริษัทฯได้ขยายตลาดใหม่มากขึ้นทั้งในจีน อินเดีย และยุโรป รวมทั้งได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของตลาดในสหรัฐ อังกฤษ และเยอรมนี

"ปีนี้รายได้น่าจะจบที่ 4,000 ล้านบาท ส่วนปี 54 ก็ตั้งเป้ารายได้โต 8% หรือประมาณ 4,400 ล้าน และในอีก 3 ปี มีความเป็นไปได้ที่รายได้จะแตะ 5,000 ล้านบาท ตลาดที่เป็น new market อย่าง จีน อินเดีย รัสเซีย น่าจะเติบโตได้ดี ส่วนตลาดเก่าอย่างสหรัฐฯ ยุโรป ก็คงไม่ขยายมาก เพราะโดยพื้นฐานก็ยังมีปัญหาอยู่"นางประพีร์ กล่าว

ปัจจัยเสี่ยงต่อการดำเนินธุรกิจในปีหน้ายังเป็นเรื่องของอัตราแลกแปลี่ยน ซึ่งขณะนี้บริษัทวางแผนรับมือไว้ด้วยการทำประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนไว้แล้ว และด้านราคาวัตถุดิบ ยังเป็นอีกปัจจัยที่ต้องติดตาม โดยเฉพาะราคาทองคำที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น แต่บริษัทใช้ความได้เปรียบของโรงงานที่มีความยืดหยุ่นในการผลิตเครื่องประดับเงินและเครื่องประดับทองให้มีสัดส่วนสอดคล้องกับทุกสภาวะและความต้องการของตลาด โดยปัจจุบันอัตราส่วนการผลิตเครื่องประดับทองอยู่ที่ 20% และเครื่องประดับเงิน 80%

“ปีหน้าเราก็จะรักษา gross profit margin ให้อยู่ที่ระดับ 34-35% เท่ากับปีนี้ ถึงแม้จะมีปัญหาเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนแต่ก็ไม่น่าจะกระทบมากนัก เนื่องจากส่วนใหญ่เราจะขายให้กับลูกค้าแบรนด์ที่เข้าจะคำนึงเรื่องของคุณภาพสินค้าเป็นหลัก ไม่ใช่เรื่องราคาเพียงอย่างเดียว"นางประพีร์ กล่าว

และในปี 54 บริษัทตั้งงบลงทุนจำนวน 300 ล้านบาท โดยจะมาจากเงินกู้สถาบันการเงินเป็นหลัก แบ่งเป็นเงินลงทุน 200 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ก่อสร้างอาคารสำนักงานเพื่อเป็นศูนย์พัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์และพัฒนาตลาดแบรนด์ของตนเอง แต่เดิมคาดว่าจะเริ่มลงทุนและก่อสร้างในปีนี้ แต่เลื่อนออกไปเนื่องจากยังอยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียดของพิมพ์เขียว

และอีก 100 ล้านบาทจะนำไปใช้ขยายตลาดในต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่ทั้งจีน อินเดีย และรัสเซีย โดยในส่วนของจีน ปัจจุบันเมืองเซิ่นเจิ้นบริษัทมีเคาน์เตอร์ขายสินค้าแบรนด์ Esse ซึ่งเป็นเครื่องประดับเงินฝังหินธรรมชาติ (แมกกาไซต์) ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำระดับกลาง-สูงไปจนถึงระดับพรีเมียมแล้วกว่า 15 สาขา และปีหน้ามีแผนจะเปิดสาขาเพิ่มเติมในเมืองปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้อย่างน้อยเมืองละ 3 สาขา

ส่วนทางอินเดีย ปัจจุบันมีคู่ค้าแล้วกว่า 3,000 ราย สินค้าที่ขายจะเป็นแบรนด์พรีม่าอาร์ตเป็นหลัก ซึ่งได้รับการตอบรับและมียอดขายที่ดีมาก บริษัทฯมีแผนจะนำสินค้าภายใต้แบรนด์อื่นๆอย่างพรีม่าโกลด์เข้าไปขายเพิ่มเติม และในช่วงไตรมาส 3/54 ก็จะมีการเปิดร้านค้าในลักษณะการขายเฟรนไชส์ 2 สาขาที่มุมไบและอัมริตซาร์ โดยสัดส่วนยอดขายในอินเดียอยู่ที่ 3% ของยอดขายรวม หรือคิดเป็นประมาณ 100 ล้านบาท

ขณะที่รัสเซีย บริษัทฯได้เข้าไปศึกษาและทำการตลาดแล้ว 2-3 ปี โดยเล็งเห็นว่าตลาดมีแนวโน้มเติบโตได้อีกมาก และประชาชนก็มีกำลังซื้อเพียงพอ ปัจจุบันสินค้าหลักที่ขายในรัสเซียจะเป็นทองคำ 24K ประดับพลอยเป็นหลัก และสัดส่วนยอดขายจากรัสเซียอยู่ที่ประมาณ 5% ของยอดขายรวม หรือมีมูลค่าประมาณ 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

นางประพีร์ กล่าวถึงความคืนหน้าของโรงงานแห่งใหม่ในเขตอุตสาหกรรมสุรนารี จ.นครราชสีมาว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงพื้นที่และติดตั้งเครื่องจักร คาดว่าจะเริ่มผลิตเครื่องประดับอัญมณีได้ภายในเดือน ม.ค.54 ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 9.18 ล้านชิ้น/ปี จากโรงงานที่มีอยู่ 8 แห่ง ใน 5 ประเทศ และสามารถรองรับตลาดทั้งในสหรัฐอเมริกา ยุโรป ตลอดจนอินเดีย จีน รวมถึงรัสเซีย ซึ่งเป็นกลุ่มตลาดใหม่ได้

อนึ่ง ปัจจุบันบริษัทมีโรงงานอยู่ 8 แห่ง กระจายอยู่ในประเทศต่างๆ 5 ประเทศ ได้แก่ ในไทย 4 โรงงาน , เวียดนาม 1 โรงงาน , อินโดนีเซีย 1 โรงงาน และเยอรมนี 1 โรงงาน

นางประพีร์ กล่าวต่อว่า ราคาหุ้นของบริษัทขณะนี้ยังอยู่ต่ำกว่าราคา Book value เพราะที่ผ่านมาผลประกอบการของบริษัทฯไม่ค่อยนิ่ง โดยบางช่วงมีการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งเป็นเรื่องที่ควบคุมได้ยาก แต่บริษัทไม่ได้นิ่งเฉยและได้มีการทำประกันความเสี่ยงมาโดยตลอด

ส่วนเรื่องที่หุ้นของบริษัทฯนั้นไม่ค่อยมีสภาพคล่องนั้น ก็คงเป็นเพราะอยู่ในกลุ่มสินค้าแฟชั่น อีกทั้งเป็นหุ้นขนาดเล็กจึงทำให้นักลงทุนไม่ค่อยสนใจ และไม่ค่อยมีบทวิเคราะห์ที่ให้ข้อมูลมากเท่าที่ควร ผู้ลงทุนส่วนใหญ่ที่เข้ามาซื้อหุ้น PRANDA ก็จะถือระยะยาวเพื่อรอปันผล เนื่องจากบริษัทจ่ายปันผลสม่ำเสมอตามนโยบายที่กำหนดจ่ายปันผลไม่เกิน 60% ของกำไรสุทธิ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ