(เพิ่มเติม) PAP เชื่อปี 54 รายได้แตะ 5 พันลบ.กำไรสูงกว่าปีก่อน,ผลิตเต็ม100%ใน1-2ปี

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday August 31, 2011 17:12 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.แปซิฟิกไพพ์(PAP)เชื่อว่าปี 54 จะมีกำไรสุทธิสูงกว่าปีก่อน เพราะครึ่งปีแรกบริษัทก็สามารถทำกำไรได้มากกว่าทั้งปี 53 เล็กน้อยแล้ว อีกทั้งมั่นใจว่าจะทำรายได้แตะ 5 พันล้านบาทได้ตามเป้าหมาย เนื่องจากครึ่งปีแรกบริษัททำรายได้ราว 2.8 พันล้านบาท และคาดว่าครึ่งปีหลังน่าจะทำรายได้ราว 2.2-2.3 พันล้านบาท

บริษัทยังคาดว่าในแง่ของราคาเหล็กในประเทศจะกลับมาฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 4/54 หลังจากปรับตัวลดลงในไตรมาส 3/54 จากผลกระทบภาวะน้ำท่วมในพื้นที่หลายจังหวัด และความต้องการผลิตภัณฑ์ของบริษัทมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทตั้งเป้าหมายอัตรากำลังการผลิตจะเต็ม 100% ภายใน 1-2 ปีข้างหน้า จากขณะนี้อยู่ที่ 70%

นายสมชัย เลขะพจน์พานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจว่ารายได้ปี 54 จะทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้ 4.35 พันล้านบาท ซึ่งการเติบโตของรายได้ในปีนี้เป็นการเติบโตสอดคล้องไปกับภาวะตลาด ประกอบกับบริษัทได้มีการขยายตลาดกลุ่มใหม่ๆอย่างต่อเนื่องทั้งตลาดลูกค้าโครงการและตลาดต่างจังหวัด

ขณะที่กำไรปี 54 ก็จะดีกว่าปีก่อน หลังในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีกำไรแล้ว 209 ล้านบาท สูงกว่ากำไรรวมในปี 53 ที่ 207 ล้านบาท

"ยอดขายในไตรมาส 1 และ 2 ใกล้เคียงกันอยู่ที่เกือบ 5 หมื่นตัน คิดว่าเมื่อมีโครงการรถไฟฟ้าสายใหม่อีก 10 สาย ตามนโยบายของรัฐบาล คงจะทำให้ตลาดท่อเหล็กเติบโตขึ้นเยอะ"นายสมชัย กล่าว

นายสมชัย กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทมีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 70% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ในระดับ 53% และคาดว่าในอีก 1-2 ข้างหน้ากำลังการผลิตจะเต็ม 100% หรืออยู่ที่ 3 แสนตัน/ปี ซึ่งเป็นไปตามความต้องการใช้เหล็กที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งจากในและต่างประเทศ โดยเฉพาะจากประเทศจีนและอินเดีย ประกอบกับ การที่บริษัทได้รับการรับรองมาตราฐานการผลิตสินค้าจากหลายๆหน่วยงาน ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้ามากขึ้น

“อีก 1-2 ปี ข้างหน้า คาดว่ากำลังการผลิตคงใช้ได้เต็ม โดยตลาดท่อโครงเหล็กขนาดใหญ่น่าจะเป็นโอกาสของเราที่จะเข้ามาช่วยเติมเต็มรายได้ รวมถึงตลาดใหม่ๆที่บริษัทจะหาโอกาสเข้าไป"นายสมชัย กล่าว

บริษัทคาดว่าความต้องการใช้ท่อเหล็กในประเทศไทยในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 7 แสนตัน/ปี โดยบริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่เกือบ 20% ส่วนแนวโน้มราคาเหล็กในประเทศคาดว่าจะมีการปรับตัวขึ้นอีกครั้งในช่วงไตรมาส 4/54 หลังจะอ่อนตัวลงในไตรมาส 3/54 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วม คาดว่าราคาขายเหล็กเฉลี่ยในปีนี้จะอยู่ที่ 26-28 บาท/ก.ก.

ปัจจุบัน สัดส่วนยอดขายของบริษัทมาจากงานทั่วไป 53% งานโครงสร้าง 39% และงานระบบ 8%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ