ทริส คงอันดับเครดิตองค์กรของ บล. ธนชาต ที่ “A" แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday May 6, 2014 17:47 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บล.ธนชาต ที่ระดับ “A" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" โดยอันดับเครดิตดังกล่าวได้รับการปรับเพิ่มขึ้นจากอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทในฐานะเป็นบริษัทลูกที่ถือหุ้น 100% โดยธนาคารธนชาต และเป็นบริษัทที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของกลุ่มธนชาต

อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทสะท้อนถึงคณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์และมีแนวทางการบริหารงานที่ระมัดระวัง ตลอดจนความสามารถในการรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดที่สูงในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ และการมีฐานเงินทุนขนาดใหญ่

นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนประโยชน์ที่บริษัทจะได้รับจากเครือข่ายและความสัมพันธ์กับกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ที่กลุ่มธนชาตมีอยู่อย่างกว้างขวางทั่วประเทศด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากความผันผวนของธุรกิจหลักทรัพย์และแรงกดดันต่ออัตราค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ภายหลังการเปิดเสรีอย่างเต็มรูปแบบเมื่อปี 2555 ที่ผ่านมา

ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากธนาคารธนชาตและยังคงเป็นบริษัทที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของกลุ่มธนชาตต่อไป

นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดหวังว่าบริษัทจะรักษาระบบจัดการความเสี่ยงเอาไว้ให้มีเพียงพอเพื่อใช้ควบคุมความเสี่ยงด้านเครดิตจากการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ อีกทั้งบริษัทจะสามารถเรียกคืนส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในส่วนของนักลงทุนต่างประเทศให้กลับมาได้ในอนาคตอันใกล้

ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาบริษัทสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เอาไว้ได้ที่ระดับ 4%-5% โดยในปี 2556 บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาด 4.6% ซึ่งอยู่ในลำดับที่ 6 จากโบรกเกอร์ จำนวน 33 ราย ในปี 2556 บริษัทได้ลงนามในสัญญาการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจร่วมกับ Daiwa Securities Group Inc. ซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์รายใหญ่อันดับ 2 ของประเทศญี่ปุ่นเพื่อร่วมมือกันด้านการเผยแพร่บทวิเคราะห์ (Co-branded Research) แก่กลุ่มลูกค้าสถาบันจากต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายที่จะขยายฐานลูกค้าในตลาดแถบเอเซีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา ซึ่งน่าจะช่วยให้บริษัทสามารถสร้างฐานนักลงทุนต่างชาติได้อีกครั้งหลังจากต้องสูญเสียปริมาณการซื้อขายจากนักลงทุนต่างชาติไป ภายหลังการสิ้นสุดการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจระยะเวลา 5 ปีกับพันธมิตรต่างชาติรายหนึ่งในปี 2553

บริษัทได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มธนชาตทั้งในด้านการทำธุรกิจและในด้านการเงิน บริษัทใช้ประโยชน์จากสาขาของธนาคารธนชาตในการขยายฐานลูกค้ารายย่อยมาโดยตลอด โดยกว่า 30% ของบัญชีเปิดใหม่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เป็นลูกค้าที่ผ่านการแนะนำโดยธนาคารธนชาต นอกเหนือจากความช่วยเหลือในการขยายธุรกิจแล้ว ธนาคารธนชาตยังให้การสนับสนุนด้านการเงินแก่บริษัทด้วย โดยบริษัทได้รับวงเงินสินเชื่อจากธนาคารธนชาต การเกื้อหนุนเหล่านี้ช่วยทำให้บริษัทมีความได้เปรียบเหนือคู่แข่งที่ไม่มีความสัมพันธ์กับธนาคารพาณิชย์ที่ให้บริการทางการเงินเต็มรูปแบบ

บริษัทมีเงินลงทุนที่มีมูลค่าค่อนข้างสูงในตราสารทุนของบริษัทจดทะเบียนประมาณ 2-3 บริษัท โดย ณ เดือนธันวาคม 2556 มูลค่าตลาดของเงินลงทุนเหล่านั้นอยู่ที่ 1.3 พันล้านบาท แม้ว่าเงินลงทุนนี้จะสร้างผลตอบแทนแก่บริษัทในรูปของรายได้จากเงินปันผล แต่ก็ทำให้บริษัทมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหลักทรัพย์อยู่บ้าง นอกเหนือไปจากนี้แล้วก็ถือว่าบริษัทมีความเสี่ยงต่อความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ไม่มากนักเนื่องจากบริษัทมีนโยบายการลงทุนเพื่อผลตอบแทนแบบ Arbitrage กับการซื้อขายเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการออกใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ เท่านั้น โดยไม่มีการเก็งกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์รายวัน ในส่วนของความเสี่ยงด้านเครดิตจากการให้สินเชื่อนั้น บริษัทมียอดการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ ณ สิ้นปี 2556 เพิ่มขึ้นเป็น 3.1 พันล้านบาท เทียบกับ 2.4 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2555 โดยยอดสินเชื่อของบริษัทในระดับดังกล่าวคิดเป็น 7% ของสินเชื่อรวมทั้งอุตสาหกรรมและคิดเป็น 93% ของส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท

ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงสามารถควบคุมความเสี่ยงด้านเครดิตในส่วนนี้ได้ต่อไปโดยใช้เกณฑ์การเรียกหลักประกันเพิ่มและการบังคับขายที่เคร่งครัด รวมทั้งคงนโยบายการกำหนดเกณฑ์ของหลักประกันและการให้วงเงินที่เข้มงวด

ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทอยู่ในระดับที่ดีและเทียบเคียงได้กับคู่แข่ง รายได้ของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในปี 2556 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 801 ล้านบาท เทียบกับ 462 ล้านบาทในปีก่อนหน้า ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอยู่ในระดับไม่สูง โดยมีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้สุทธิลดลงเหลือ 49% ในปี 2556 จาก 57% ในปี 2555 บริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้น ณ สิ้นปี 2556 อยู่ที่ประมาณ 3.4 พันล้านบาทและมีอัตราส่วนเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิต่อหนี้สินทั่วไปอยู่ที่ 48% ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าเกณฑ์ 7% ตามที่ทางการกำหนด


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ