ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำสัปดาห์: มีมูลค่าการซื้อขายรวม 378,588 ลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday October 13, 2014 17:40 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ประจำสัปดาห์ (6 – 10 ตุลาคม 2557) ปริมาณการซื้อขายตราสารหนี้มีมูลค่ารวม 378,588 ล้านบาท หรือเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณวันละ 75,718 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้าประมาณ 11% ทั้งนี้เมื่อแยกตามประเภทของตราสารแล้วจะพบว่ากว่า 67% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด หรือประมาณ 253,302 ล้านบาท เป็นการซื้อขายในตราสารหนี้ที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (State Agency Bond) ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นตราสารที่มีอายุคงเหลือค่อนข้างน้อย (ไม่เกิน 6 เดือน) ขณะที่พันธบัตรรัฐบาลที่ออกโดยกระทรวงการคลัง (Government Bond) มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 91,713 ล้านบาท และหุ้นกู้ที่ออกโดยภาคเอกชน (Corporate Bond) มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 5,995 ล้านบาท หรือคิดเป็น 24% และ 2% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดที่เกิดขึ้น ตามลำดับ

สำหรับพันธบัตรรัฐบาล ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกคือรุ่น LB196A (อายุ 4.7 ปี) LB176A (อายุ 2.7 ปี) และ LB236A (อายุ 8.7 ปี) โดยมีมูลค่าการซื้อขายในแต่ละรุ่นเท่ากับ 28,118 ล้านบาท 17,548 ล้านบาท และ 11,897 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนพันธบัตรที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย รุ่นที่มีปริมาณซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือรุ่น CB15108E (อายุ 91 วัน) BOT177A (อายุ 2.8 ปี) และ CB15409B (อายุ 182 วัน) มูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 23,197 ล้านบาท 18,537 ล้านบาท และ 15,859 ล้านบาท ตามลำดับ

ขณะที่หุ้นกู้ภาคเอกชน ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หุ้นกู้ของบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) รุ่น BECL172A (A) มูลค่าการซื้อขาย 376 ล้านบาท หุ้นกู้ของบริษัท ลีสซิ่งไอซีบีซี (ไทย) จำกัด รุ่น ICBCTL175A (AAA) มูลค่าการซื้อขาย 355 ล้านบาท และหุ้นกู้ของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) รุ่น TOP273A (AA-) มูลค่าการซื้อขาย 314 ล้านบาท

ราคาของพันธบัตรอายุตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ปรับตัวเพิ่มขึ้น หรือผู้ซื้อจะได้ผลตอบแทน (Yield) ลดลง ประมาณ 0.03% - 0.09% ตามทิศทางของพันธบัตรสหรัฐฯ (US Treasury) ภายหลังการเปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือน ก.ย. ของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่แสดงถึงความกังวลเกี่ยวกับ ความอ่อนแอของเศรษฐกิจหลักในต่างประเทศ ทั้งยุโรปและเอเชีย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ สถานการณ์ดังกล่าวนับเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้ Fed ยังคงดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไปในอนาคตอันใกล้ และทำให้นักลงทุนคาดการณ์ว่าจะยังไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆนี้ ส่งผลให้มีแรงซื้อทั้งในตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรของสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคาพันธบัตรสหรัฐฯ (US Treasury) เพิ่มขึ้น และมีส่วนทำให้ราคาของพันธบัตรไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้แล้ว การไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติในตราสารหนี้ระยะยาวอย่างต่อเนื่อง เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาตราสารหนี้ระยะยาวของไทยปรับตัวสูงขึ้น (อัตราผลตอบแทนปรับตัวลดลง) ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

นักลงทุนต่างชาติมียอด ซื้อสุทธิ ในตราสารหนี้ทุกประเภท (ทั้งระยะสั้น และระยะยาว) รวมกัน 1,730 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น (อายุคงเหลือน้อยกว่า 1 ปี) 3,829 ล้านบาท และซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว 5,560 ล้านบาท ทางด้านนักลงทุนรายย่อยมียอดซื้อสุทธิ 26 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ