KASETหวังโตกระโดดปี 52 หลังขยายผลิตสินค้ามาร์จิ้นสูงส่งชิงมาร์เก็ตแชร์

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday May 14, 2008 11:55 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          บมจ.ไทยฮา(KASET)มั่นใจขายหุ้นเพิ่มทุน PP ได้ทั้งหมดครบสมบูรณ์ภายในปีนี้จากแผนขยายกำลังผลิตโจ๊กคัพ ข้าวถุงและวุ้นเส้นซึ่งเป็นสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง พร้อมตั้งเป้าชิงส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มอย่างชัดเจนในปีหน้าส่งรายได้-กำไรโตก้าวกระโดด 
จากปีนี้ที่ขยับเป้ารายได้มาเป็น 2.25 พันล้านบาท เติบโต 40% มองภัยธรรมชาติจากพายุนาร์กีสในพม่าและแผ่นดินไหวในจีนหนุนราคาสินค้าเกษตรอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมากอย่างน้อยถึงสิ้นปีนี้ เนื่องจากพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายเป็นแหล่งเพาะปลูกสำคัญ
นายสมฤกษ์ ตั้งพิรุฬห์ธรรม กรรมการผู้จัดการ KASET กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทฯจะเพิ่มทุนประมาณ 13.6% คิดเป็น 27 ล้านหุ้นขายให้กับนักลงทุนเฉพาะเจาะจง(PP) ซึ่งจะมีการกำหนดราคาและรายละเอียดในการขายหุ้นต่อไป โดยภายในปีนี้จะเพิ่มทุนแล้วเสร็จ เพื่อให้มีเงินมาใช้ขยายการผลิตสินค้า และใช้เป็นทุนหมุนเวียนตามราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น เมื่อดูจากทุกอย่างแล้วน่าจะออกมาดี มั่นใจว่าจะขายหุ้นเพิ่มทุนได้ทั้งหมด
KASET ระบุวัตถุประสงค์การเพิ่มทุนเพื่อใช้ขยายกำลังการผลิตสินค้ากึ่งสำเร็จรูปโจ๊กคัพเพิ่มขึ้นร้อยละ 100 และขยายกำลังการผลิตข้าวขาวหอมมะลิและวุ้นเส้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 เพื่อรองรับการขายปี 2551-2553
นายสมฤกษ์ กล่าวว่า การผลิตโจ๊กคัพและสินค้าอื่น ๆ เต็มกำลังแล้สทั้งหมดเป็นสาเหตุที่บริษัทต้องเพิ่มทุน โดยเฉพาะโจ๊กคัพ เป็นผลผลิตภัณฑ์จากข้าวมีอัตราการเติบโตพุ่งแรงเกินคาด ขณะที่ผลิตแล้วกว่า 90% ซึ่งจะมีการขยายการผลิตเพิ่มจาก 1.8 แสนหีบ/ปี เป็น 3.6 แสนหีบ/ปี พยายามจะให้ได้เห็นในไตรมาส 4/51
"คงต้องมีบางส่วนที่เสร็จภายในปีนี้ เป็นการทยอย แต่ถ้าจะให้สมบูรณ์แบบคงเป็นปีหน้า เนื่องจากเรามีความพร้อมอยู่แล้วแค่เติมเครื่องจักรต่างๆ ลงไป ดูแล้วดีมานด์สูง คนตอบรับโจ๊กของเราดีมาก"นายสมฤกษ์ กล่าว
บริษัทมีเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด(มาร์เก็ตแชร์)โจ๊กคัพชึ้นเป็น 10% หลังจากขยายการผลิต จากปัจจุบันมาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ 7-8% ยังเน้นการขายในประเทศ เพราะตลาดมีขนาดใหญ่ถึง 1,000 ล้านบาท ประกอบกับบริษัทได้เปรียบคู่แข่งเนื่องจากเป็นผู้ผลิตข้าวด้วย โดยโจ๊กคัพมีมาร์จิ้นสูงถึง 30-40%
"ดูแล้วตอนนี้เราได้เปรียบควรจะต้องรีบทำในปีนี้ เราจะมีปริมาณมาร์เก็ตแชร์เท่าไรนั้นต้องดูคู่แข่งว่าอัตราการแข่งขันรุนแรงแค่ไหน แต่เราได้เปรียบอยู่แล้ว ต้นทุนเราจะได้วัตถุดิบที่ถูกมาก เพราะเราผลิตเอง เราได้เปรียบเห็นชัดๆ มาร์จิ้นที่ตั้งไว้ 30-40% สำหรับโจ๊กคัพ ถือว่ามาร์จินอยู่ระดับสูง ดีมาก"นายสมฤกษ์ กล่าว
*คาดรายได้พุ่งต่อเนื่องปี 51-52 หลังขยับเป้ารายได้ปีนี้ขึ้นเป็น 2.25 พันล้านบาท
นายสมฤกษ์ กล่าวว่า การเพิ่มกำลังผลิตสินค้าจะทำให้รายได้ของบริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่องในปีหน้า หลังจากปีนี้บริษัทได้ปรับเพิ่มเป้ารายได้ขึ้นมาเป็น 2.25 พันล้านบาท เติบโตราว 40% จากปีก่อนที่มีรายได้ 1,590 ล้านบาท หลังจากไตรมาส 1/51 ทำรายได้ 490 ล้านบาท เติบโต 35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 366 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรสุทธิ 27.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 1,200%
"กำไรที่เพิ่มขึ้นเป็นเรื่องของปริมาณขายอย่างเดียวที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากในแง่ของปริมาณเพิ่มขึ้น ในส่วนของมูลค่าที่เพิ่มขึ้น (ราคาขายข้าว) น่าจะส่งผลดีต่อผลประกอบการไตรมาสที่ 2/51 มากกว่า เพราะในส่วนของไตรมาส 1/51 ยังเป็นราคาที่ยังไม่ได้ effect จากผลจากตลาดที่มีการเปลี่ยนโครงสร้างที่รุนแรงมาก"นายสมฤกษ์ กล่าว
ในช่วงที่ผ่านมาจากต้นปีจนถึงปัจจุบัน ราคาขายข้าวหอมมะลิเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมากกว่า 40-50% โดยราคาขายข้าวหอมมะลิอยู่ที่ 1,000 กว่าเหรียญสหรัฐ/ตัน โดยไตรมาส 2/51 เราส่งออกมากขึ้นจากไตรมาส 1/51 โดยไตรมาส 1 มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนมาก เป็นวิธีการลงบัญชีเนื่องจากมาตรฐานบัญชีใหม่ mark to market ซึ่งน่าจะทำให้ไตรมาส 2/51 ดีต่อเนื่อง ขณะที่ในประเทศก็ได้ปรับราคาและราคาก็ดีไม่แพ้กัน
นายสมฤกษ์ กล่าวว่า ในส่วนของกำไรสุทธิในปีนี้ จากที่โบรกเกอร์บางรายได้คาดการณ์ว่าน่าจะมีกำไรประมาณ 150 ล้านบาทนั้น ก็มองว่าอะไรก็เป็นไปได้
"เราทำธุรกิจแบบตั้งใจทำและทำบนเบสิกที่ธุรกิจมีความพร้อม และสร้างความพร้อมไว้ดีมาก ถ้าทำทุกอย่างเท่าที่มีความรู้เท่าที่จะทำได้และบริษัทได้วางแผนล่วงหน้าไว้ตลอด เวลาธุรกิจมาเราก็เก็บขึ้นมา" นายสมฤกษ์ กล่าว
บริษัทมีนโยบายจ่ายปันผลผู้ถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 50% แต่ที่ผ่านมาไม่ได้มีอะไรต่ำกว่า 60% กว่า โดยมีตั้งแต่ 60-70% กว่า โดยผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นกลุ่มตั้งพิรุฬห์ธรรม ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน บจ. เชียร์ (ประเทศไทย)
*ภัยพิบัติครั้งใหญ่ในพม่า-จีนหนุนราคาสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปดีต่อเนื่อง
นายสมฤกษ์ กล่าวว่า สถานการณ์พายุนาร์กีสถล่มพม่าและเกิดแผ่นไหวในจีน จะส่งผลกระทบให้ดีมานด์ในตลาดโลกในระยะสั้นไปถึงสิ้นปียังอยู่ในเกณฑ์สูง ซึ่งเป็นไปได้ที่ราคาขายข้าวจะมีการปรับสูงขึ้นอีก จากก่อนหน้านี้มีผู้คาดว่าราคาในช่วงกลางปีอาจปรับลงมาบ้าง
"อยู่ในเกณฑ์สูง และมีความเป็นไปได้ที่จะปรับขึ้นอีกเนื่องจากว่าดีมานด์ในตลาดโลกก็ไม่ได้น้อยลง และเราก็มีเรื่องเหตุภัยพิบัติติดๆ กัน 2 แห่ง คือที่พม่ามีพายุนาร์กีส และที่มณฑลเสฉวนในจีนที่เกิดแผ่นดินไหว เพราะเสฉวนเป็นพื้นที่เพาะปลูกสำคัญของจีนก็มีผล"นายสมฤกษ์ กล่าว
ประกอบกับ ผู้ส่งออกทุกประเทศยังกังวลต่อปัญหาเงินเฟ้อ จึงยังไม่ค่อยกล้าที่จะดันยอดส่งออกไปสูงมากนัก แม้บางประเทศการผลิตไม่ได้รับความเสียหายอย่างในประเทศเวียดนาม หรืออินเดีย ก็ยังไม่ได้บ่งบอกชัดเจนว่าเมื่อใดจะกลับมาส่งออกตามปกติ แต่ประเทศไทยยังคงผลักดันการส่งออกอย่างต่อเนื่อง ทำให้ลูกค้าก็ยังตรงเข้ามาที่ไทยค่อนข้างมาก รวมถึงที่ KASET ด้วย
ทั้งนี้ ทิศทางราคาข้าวโดยรวมน่าจะเป็นบวกอยู่ในเกณฑ์สูง คงไม่มีปัจจัยใด ๆ ที่ทำให้ราคาลดลงได้ หากดูจากปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น ราคาน้ำมันยังไม่มีแนวโน้มอ่อนตัวที่ชัดเจน ขณะที่ความต้องการข้าวสูงมาก และผลิตภัณฑ์โภคภัณฑ์อื่นที่ทดแทนได้ยังมีราคาสูงอยู่ ทั้งข้าวสาลี ข้าวโพด ก็อยู่ในเกณฑ์สูง
"ทางตะวันออกกลางยังมีคำสั่งซื้อข้าวสูงมากแต่ทุกวันนี้ไม่ได้ทำอะไรที่โฉ่งฉ่างออกมาเหมือนกับฟิลิปปินส์ อย่าง อิรักเข้ามาซื้อเยอะจริงๆ อยู่ในเกณฑ์สูงที่ 1,200 เหรียญฯ ถ้าราคาต่ำกว่านี้ exporter ไม่ขาย คิดว่าประเทศไทยยังมีของเพียงพอ"นายสมฤกษ์ กล่าว

แท็ก (KASET)   ไทยฮา  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ