ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (24 มิ.ย.) ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกัน 3 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกอาจเป็นไปอย่างล่าช้า นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดมุมมองเศรษฐกิจ และรายงานยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนพ.ค.ของสหรัฐที่ร่วงลงด้วย
ดัชนี FTSE 100 ร่วงลง 78.29 จุด หรือ 1.51% ปิดที่ 5,100.23 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 5,090.96 - 5,211.80 จุด
ตลาดหุ้นลอนดอนเคลื่อนตัวผันผวนและถูกเทขายอย่างหนัก หลังจากเฟดปรับลดมุมมองเศรษฐกิจและประเมินเศรษฐกิจอย่างระมัดระวัง โดยในการประชุมครั้งล่าสุดเมื่อวันพุธที่ผ่านมา เฟดประกาศคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed funds rate) ที่ระดับ 0 - 0.25% และออกแถลงการณ์ว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ 'ยังคงดำเนินต่อไป' ขณะที่ตลาดแรงงานค่อยๆปรับตัวดีขึ้นและตัวเลขการใช้จ่ายภาคครัวเรือนยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ก็ถูกจำกัดด้วยอัตราว่างงานที่อยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ เฟดระบุว่าวิกฤตหนี้สาธารณะของยุโรปส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นด้วย
ทางการสหรัฐรายงานว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนพ.ค.ร่วงลง 1.1% มาอยู่ที่ระดับ 1.92 แสนล้านดอลลาร์ หลังจากเพิ่มขึ้น 3.0% ในเดือนเม.ย. ขณะที่จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 19 มิ.ย.ลดลงเพียง 19,000 ราย สู่ระดับ 457,000 ราย ซึ่งแม้ว่าตัวเลขดังกล่าวปรับตัวลดลง แต่จำนวนคนว่างงานยังนับว่าอยู่ในระดับที่สูงมาก
การลดมุมมองเศรษฐกิจของเฟดส่งผลให้ความกังวลเรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจโลก และได้ฉุดหุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงด้วย โดยหุ้นธนาคาร รอยัล แบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ ร่วงลง 3.3% และหุ้นธนาคารบาร์เคลย์ส ร่วงลง 4.6%
ส่วนหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ถูกเทขายแม้นางจูเลีย กิลลาร์ด ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของออสเตรเลียแทนนายเควิน รัดด์ ซึ่งนางกิลลาร์ดมีความพร้อมที่จะยุติความขัดแย้งเรื่องภาษีเหมืองแร่ในออสเตรเลีย โดยหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ร่วงลง 1.6% หุ้นริโอทินโตดิ่งลง 3.2% หุ้นคาซัคมิสร่วงลง 5.1%