ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนลบเป็นวันที่ 4 ติดต่อกันเมื่อคืนนี้ (25 มิ.ย.) หลังหุ้นบีพีดิ่งแตะระดับต่ำสุดในรอบ 14 ปี และหุ้นกลุ่มเหมืองร่วงลงเนื่องจากความวิตกว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวจะทำให้ความต้องการโลหะหดตัวลง
ดัชนี FTSE 100 ปรับตัวลดลง 53.76 จุด หรือ 1.1% ปิดที่ 5,046.47 จุด ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา
หุ้นบีพีดิ่งลง 6.27% มากสุดในบรรดาหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังเกิดกระแสหวั่นวิตกว่าพายุเฮอริเคนอาจเป็นอุปสรรคขัดขวางความพยายามในการทำความสะอาดคราบน้ำมันในอ่าวเม็กซิโก นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสถานะการเงินของบริษัท หลังจากที่โนมูระแนะว่า บีพีอาจต้องขายหุ้นเพิ่มทุนเพื่อนำเงินมาใช้จ่ายในวิกฤตน้ำมันรั่วและชำระหนี้
ศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติของสหรัฐรายงานว่า พายุลูกแรกในฤดูพายุเฮอริเคนในมหาสมุทรแอตแลนติกปีนี้จะเคลื่อนตัวเข้าสู่อ่าวเม็กซิโกในสัปดาห์หน้า ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อปฏิบัติการขจัดคราบน้ำมันของบริษัทบีพี ขณะที่นักอุตุนิยมวิทยาหลายคนคาดว่า ฤดูพายุเฮอริเคนปีนี้ ซึ่งเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนไปจนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน อาจเป็นปีที่มีพายุเฮอริเคนก่อตัวขึ้นมากที่สุดเป็นประวัติการณ์
หุ้นบีพีเป็นแกนนำให้หุ้นบริษัทน้ำมันรายอื่นๆปรับตัวลงตามไปด้วย โดยรอยัล ดัทช์ เชลล์ ลบ 1.3% และบีจี กรุ๊ป ลดลง 1.2%
ขณะที่หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลงเนื่องจากความวิตกว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่มั่นคงอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการโลหะ โดยหุ้นคาซักมิส ผู้ผลิตทองแดงรายใหญ่สุดของคาซักสถาน ร่วงลง 3.9% และหุ้นอันโตฟากัสตา เจ้าของเหมืองทองแดงในชิลี ร่วงลง 3.3% และลอนมิน ซึ่งเป็นผู้ประกอบการเหมืองพลาตินัมรายใหญ่อันดับสามของโลก ลบ 3.7%
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นลอนดอนยังได้รับปัจจัยลบจากการทบทวนจีดีพีไตรมาสแรกของสหรัฐ โดยกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า เศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งมีขนาดใหญ่สุดในโลกขยายตัว 2.7% ต่อปีในไตรมาส 1/2553 น้อยกว่าที่ประเมินไว้ในเดือนที่แล้วที่ระดับ 3%