(เพิ่มเติม) STARK เข้าร่วมลงทุนใน ไทย เอ็นคอม รุกธุรกิจพลังงานทดแทน-EV

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday August 16, 2021 13:16 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 6/2564 มีมติอนุมัติให้บริษัทเข้าลงทุนใน บริษัท ไทย เอ็นคอม จำกัด (TENCOM) ร่วมกับบริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (PEA ENCOM) โดยใช้กระแสเงินสดภายในบริษัทฯ เพื่อขยายธุรกิจของบริษัทฯ

โดยบริษัทฯ จะเข้าไปซื้อหุ้นสามัญของ TENCOM ภายในเดือน ส.ค.64 จำนวนรวม 650 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 65% ของทุนจดทะเบียนของ TENCOM จากนายศรัทธา จันทรเศรษฐเลิศ และ นางสาวยสบวร อำมฤต ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 65,000 บาท ทำให้ภายหลังจากการทำธุรกรรมดังกล่าว TENCOM จะมีสภาพเป็นบริษัทย่อยของบริษัท จากนั้นภายใน 2 เดือนบริษัทจะจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ TENCOM เพิ่มเติม 649,350 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ 100 บาท มูลค่ารายการเท่ากับ 64,935,000 บาท

นายประกรณ์ เมฆจำเริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร STARK เปิดเผยว่า TENCOM ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานและพลังงานทดแทน และการจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ธุรกิจที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีและการสื่อสาร ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ธุรกิจการตั้งศูนย์ข้อมูล และธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง

"บริษัทจะเข้าไปซื้อหุ้นสามัญของ TENCOM เพื่อขยายธุรกิจไปในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทดแทน และเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มโอกาสในการเติบโตให้สอดคล้องกับแนวโน้มสถานการณ์โลกในปัจจุบัน"

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวอีกว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปี 64 ยังคงเป้าหมายรายได้ในปีนี้ เติบโต 15-20% และมั่นใจว่าจะทำสถิติสูงสุดใหม่ได้ต่อเนื่อง โดยจะมาจากรายได้หลักคือ ธุรกิจสายไฟฟ้า และสายเคเบิ้ล มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีไปพร้อมกับอุตสาหกรรมไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ และยังคงมุ่งเน้นการขายสินค้าในกลุ่มที่มีความสามารถในการทำกำไรได้สูง (High Margin) ขณะที่ปัจจุบัน บริษัทฯ ยังมีงานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) อยู่ที่ไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท โดยเป็นงานทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะทยอยรับรู้ต่อเนื่อง

สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/64 บริษัทมีรายได้หลัก 5,252 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.9% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้หลัก 4,240 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรสุทธิ (ส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่) 524 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.8% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไร 427 ล้านบาท

ส่วนผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน บริษัทมีรายได้ 9,908 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.4% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้หลัก 7,261 ล้านบาท ขณะที่มีกำไร(ส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่) 963 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.9% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไร 688 ล้านบาท

ปัจจัยที่สนับสนุนให้ผลการดำเนินงานมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากการรับรู้ยอดขายที่ปรับตัวสูงขึ้นจากโครงการภาครัฐและเอกชนที่ดำเนินการก่อสร้างอย่างต่อเนื่องตามแผนงานและกำหนดการ ประกอบกับผลประกอบการของธุรกิจที่ประเทศเวียดนาม มีอัตราการเติบโตที่ดีทั้งในส่วนรายได้และกำไรเช่นกัน

นายประกรณ์ กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์โควิด-19 บริษัทได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและออกมาตรการป้องกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ความมั่นใจแก่ลูกค้า พนักงาน และชุมชน ดังนั้นบริษัทสามารถดำเนินกิจการได้อย่างปกติโดยได้ผลกระทบจากการประกาศล็อกดาวน์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น อาทิ ข้อจำกัดด้านการขนส่งสินค้า ลูกค้าชะลอการรับสินค้าเนื่องจากไซต์ก่อสร้างปิด ทำให้ลูกค้าขอเลื่อนกำหนดส่งมอบสินค้าเป็นการชั่วคราว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้า High margin

ทั้งนี้ หากไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวและบริษัทสามารถส่งมอบสินค้าได้ตามกำหนดจะส่งผลทำให้มีกำไรในไตรมาส 2 เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 132 ล้านบาท ดังนั้น บริษัทจะมีกำไรสุทธิประมาณ 659 ล้านบาทในไตรมาส 2/64 และ 1,101 ล้านบาทในงวด 6 เดือนปี 64 ทั้งนี้ บริษัทจะทยอยส่งสินค้าดังกล่าวในไตรมาสต่อไปภายในปี 64 ภายใต้มาตรการและประกาศของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ