สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (2 มี.ค.) หลังนักลงทุนคลายกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันในซาอุดิอาระเบียอันเนื่องมาจากรายงานข่าวเรื่องท่อส่งน้ำมันระเบิด ขณะเดียวกันการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐจะทำให้สัญญาสินค้าโภคภัณฑ์มีมูลค่าไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุน
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ที่ตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย.ปรับตัวลง 2.14 ดอลลาร์ หรือ 1.97% ปิดที่ 106.70 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่งผลให้ตลอดทั้งสัปดาห์สัญญาน้ำมันดิบร่วง 3.07 ดอลลาร์ หรือ 2.80% นับเป็นสัปดาห์แรกที่ราคาน้ำมันดิบลดลงนับตั้งแต่วันที่ 3 ก.พ.
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนเม.ย.ร่วงลง 2.55 ดอลลาร์ หรือ 2.02% ปิดที่ 123.65 ดอลลาร์/บาร์เรล และตลอดสัปดาห์ ลดลง 1.82 ดอลลาร์ หรือ 1.45%
เมื่อวันพฤหัสบดี สถานีโทรทัศน์ของทางการอิหร่านรายงานว่า ได้เกิดระเบิดขึ้นที่ท่อส่งน้ำมันแห่งหนึ่งในซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่สุดของโลก รายงานดังกล่าวได้จุดชนวนความวิตกไปทั่วทั้งตลาด และดันสัญญาน้ำมันดิบ WTI ให้พุ่งขึ้นเหนือ 110 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังปิดตลาดเมื่อวันพฤหัสบดี ขณะที่น้ำมันดิบเบรนท์ก็ทะยานเช่นกัน และทะลุระดับ 128 ดอลลาร์ในช่วงท้ายตลาดเมื่อวันพฤหัสบดี
อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ของซาอุดิอาระเบียได้ออกมาปฏิเสธรายงานดังกล่าวในวันศุกร์ โดยยืนยันว่าไม่ได้มีเหตุระเบิดเกิดขึ้นตามที่เป็นข่าว อีกทั้งไม่มีการก่อเหตุโจมตีในประเทศแต่อย่างใด ซึ่งช่วยบรรเทาความกังวลของนักลงทุนและส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง
ขณะเดียวกัน เงินดอลลาร์ได้แข็งค่าขึ้น ขณะที่ยูโรร่วงลง หลังจากที่สเปนปรับเพิ่มเป้าหมายยอดขาดดุลงบประมาณ โดยยูโรอ่อนค่าลงเกือบ 0.9% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ ด้านดัชนีดอลลาร์ปรับตัวขึ้นประมาณ 0.8% ซึ่งทำให้น้ำมันดิบที่ซื้อขายกันในสกุลเงินดอลลาร์มีราคาแพงขึ้น และลดความน่าดึงดูดใจในสายตาของนักลงทุนที่ถือสกุลเงินอื่นๆ
ทั้งนี้ นายมาเรียโน ราฮอย นายกรัฐมนตรีสเปน ได้ปรับเพิ่มเป้าหมายการขาดดุลงบประมาณปี 2555 เป็น 5.8% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศปีนี้ ซึ่งสูงกว่าที่สเปนได้ตกลงกับบรรดาผู้นำอียูก่อนหน้านี้ว่าจะควบคุมตัวเลขขาดดุลไว้ที่ 4.4%