ราคาน้ำมันดิบตลาดสิงคโปร์ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในวันนี้ (29 ก.พ.) แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติกาณ์ระดับใหม่ ซึ่งเป็นผลมาจากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง หลังจากที่สหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอลง สำนักข่าวธอมสัน ไฟแนนเชียลรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบส่งมอบเดือนเม.ย.และได้มีการซื้อขายที่ตลาดสิงคโปร์เพิ่มขึ้น 21 เซนต์ สู่ระดับ 102.80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากที่พุ่งสูงขึ้น 2.95 เซนต์ ปิดที่ระดับ 102.59 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลที่ตลาดน้ำมันนิวยอร์กเมื่อคืนนี้ เพิ่มขึ้นจากระดับ 100.88 ดอลลาร์ในวันอังคารที่ผ่านมา ทั้งนี้ ราคาน้ำมันตลาดนิวยอร์กแตะระดับสูงสุดระหว่างวันที่ 102.74 ดอลลาร์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา หลังจากที่ปิดตลาดพุ่งขึ้นแตะระดับ 102.97 ดอลลาร์ ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ทะเลเหนืองวดส่งมอบเดือนเม.ย.พุ่งขึ้น 16 เซนต์ แตะที่ 101.06 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 100.90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเมื่อคืนนี้ โดยพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดระหว่างวันที่ 101.27 ดอลลาร์ "ราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติกาณ์ระดับใหม่เป็นผลมาจากมีเม็ดเงินจากนักลงทุนที่ไหลเข้าสู่ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และอัตราเงินเฟ้อสหรัฐที่พุ่งสูงขึ้น" วิคเตอร์ ชุม นักวิเคราะห์จากบริษัทเปอร์วิน แอนด์ เกิร์ทซ์ ในสิงคโปร์กล่าวว่า ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับเงินสกุลยูโร ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบสหรัฐถูกลงสำหรับนักลงทุนที่ใช้สกุลเงินที่แข็งแกร่งกว่า โดยค่าเงินยูโรผ่านระดับ 1.52 ดอลลาร์ต่อยูโรเป็นครั้งแรกเมื่อวานนี้ ราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นได้ส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อในสหรัฐ ซึ่งเป็นประเทศที่มีอัตราการใช้น้ำมันมากที่สุดในโลก และกระตุ้นให้เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับแผนปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซาลง กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 4 ปี 2550 ขยายตัวขึ้นเพียง 0.6% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ประมาณการไว้ว่าจะขยายตัว 0.8% ซึ่งนับเป็นสถิติอ่อนแอที่สุดนับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2545 นักวิเคราะห์กล่าวว่า ราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นส่งผลให้เกิดกระแสคาดการณ์ว่า โอเปคซึ่งเป็นประเทศส่งออกน้ำมันดิบ อาจจะตัดสินใจตรึงผลผลิตน้ำมันไว้ที่ระดับปัจจุบันในที่ประชุมที่จะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า ทั้งนี้ รัฐมนตรีจากกลุ่มประเทศโอเปคทั้ง 13 ประเทศจะจัดการประชุมขึ้นที่กรุงเวียนนาในวันพุธหน้า เพื่อตัดสินใจเรื่องโควต้าผลผลิตน้ำมัน เนื่องจากฤดูหนาวในซีกโลกเหนือ ซึ่งปกติแล้วจะเป็นช่วงที่มีความต้องการใช้น้ำมันดิบพุ่งขึ้นสูงสุด ได้สิ้นสุดลงแล้ว