สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (27 มี.ค.) เพราะได้รับแรงกดดันจากสกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งแกร่งขึ้น และตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคของสหรัฐที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยในเดือนก.พ. นอกจากนี้ นักลงทุนยังคงให้น้ำหนักกับสต็อกน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นเกินคาดในสหรัฐ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยทำให้ดีมานด์พลังงานลดลงด้วย
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนพ.ค.ร่วงลง 1.96 ดอลลาร์ ปิดที่ 52.38 ดอลลาร์/บาร์เรล
ขณะที่สัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนเม.ย.ลดลง 4.32 เซนต์ ปิดที่ 1.4879 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนเม.ย.ลดลง 4.85 เซนต์ ปิดที่ 1.4330 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ร่วงลง 1.48 ดอลลาร์ ปิดที่ 51.98 ดอลลาร์/บาร์เรล
แอนดรูว์ เลโบว์ นักวิเคราะห์จาก MF Global กล่าวว่า นักลงทุนเทขายสัญญาน้ำมันดิบหลังจากสกุลเงินดอลลาร์แข็งแกร่งขึ้นเมื่อเทียบกับยูโร และหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคประจำเดือนก.พ.ขยับขึ้นเพียง 0.2% หลังจากพุ่งขึ้น 1% ในเดือนม.ค. ขณะที่รายได้ส่วนบุคคลประจำเดือนก.พ.ลดลง 0.2% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกัน 4 ครั้งภายในระยะเวลา 5 เดือน และสะท้อนให้เห็นว่าภาคเอกชนในสหรัฐเลย์ออฟพนักงานจำนวนมาก
ส่วนตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 4 หดตัวลง 6.3% ต่อปี ซึ่งเป็นสถิติที่หดตัวลงครั้งใหญ่สุดนับตั้งแต่ช่วงไตรมาสแรกของปีพ.ศ.2525 เนื่องจากยอดส่งออกร่วงลงอย่างหนัก
นักลงทุนส่วนใหญ่วิตกกังวลว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยทำให้ความต้องการพลังงานหดตัวลงด้วย หลังจากกระทรวงพลังงานสหรัฐรายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 20 มี.ค.พุ่งขึ้น 3.3 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 356.6 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 1.2 ล้านบาร์เรล
นักลงทุนยังจับตาดูความเคลื่อนไหวของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) นับตั้งแต่โอเปคมีมติคงเพดานการผลิตในการประชุมที่กรุงเวียนนาเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และจะมีการประเมินสถานการณ์ในตลาดพลังงานอีกครั้งในการประชุมครั้งต่อไปซึ่งจะมีขึ้นวันที่ 28 พ.ค.นี้ โดยปัจจุบันเพดานการผลิตน้ำมันของโอเปคอยู่ที่ 24.84 ล้านบาร์เรล/วัน
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากรายงานที่ระบุว่า อุตสาหกรรมสายการบิน, เครื่องจักร, รถยนต์ และอุตสาหกรรมแทบจะทุกภาคส่วนได้ปรับลดกำลังการผลิตและเลย์ออฟพนักงานจำนวนมาก ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ากำลังในการใช้พลังงานลดน้อยลงด้วย