ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบในวันอังคาร (6 พ.ค.) โดยยุติการปรับขึ้นติดต่อกัน 10 วัน ท่ามกลางความไม่แน่นอนเรื่องมาตรการภาษีที่กดดันตลาด ขณะที่นักลงทุนยังคงติดตามดูนโยบายการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ที่คาดเดาได้ยาก
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 536.35 จุด ลดลง 0.96 จุด หรือ -0.18%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,696.92 จุด ลดลง 31.01 จุด หรือ -0.40%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,249.65 จุด ลดลง 94.89 จุด หรือ -0.41% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,597.42 จุด เพิ่มขึ้น 1.07 จุด หรือ +0.01%
หุ้นกลุ่มบริษัทด้านสุขภาพร่วงลง 1% โดยหุ้นโนโว นอร์ดิสค์ (Novo Nordisk) ร่วง 4%
หุ้นฟิลิปส์ (Philips) ร่วง 2.7% หลังบริษัทปรับลดคาดการณ์อัตรากำไรในปี 2568
เมื่อวันจันทร์ ทรัมป์ระบุว่า เขาตั้งใจจะประกาศเก็บภาษียาในช่วงสองสัปดาห์ข้างหน้า หลังจากประกาศเก็บภาษีนำเข้าภาพยนตร์จากต่างประเทศ 100% เมื่อวันอาทิตย์
นักวิเคราะห์กล่าวว่า สิ่งที่นักลงทุนไม่ชอบที่สุดก็คือความไม่แน่นอน ซึ่งไม่เคยเป็นผลดีต่อตลาดหุ้น
อย่างไรก็ตาม ยังมีความหวังเล็กน้อยเรื่องการผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน หลังจากจีนระบุเมื่อสัปดาห์ก่อนว่ากำลังพิจารณาข้อเสนอจากสหรัฐฯ ในการเจรจาเรื่องภาษี
ตลาดหุ้นเยอรมนีลดช่วงติดลบลง หลังจากฟรีดริช แมร์ซ ผู้นำพรรคอนุรักษนิยม ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีจากการลงคะแนนรอบที่สองในรัฐสภา หลังจากพ่ายแพ้อย่างไม่คาดคิดในการลงคะแนนรอบแรก
ผลสำรวจระบุว่าเศรษฐกิจยูโรโซนยังขยายตัวในเดือนเม.ย. แต่ในอัตราที่ช้าลง เนื่องจากความต้องการอ่อนแอ และภาคบริการที่ครองสัดส่วนใหญ่ของเศรษฐกิจแทบจะไม่ขยายตัวเลย ซึ่งสะท้อนว่าการฟื้นตัวของภูมิภาคยังเปราะบาง
ตลาดคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะคงดอกเบี้ยไว้ในการประชุมวันพุธนี้ (7 พ.ค.) และตลาดจะจับตาคำแถลงเกี่ยวกับผลกระทบของภาษีต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ ส่วนธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ก็จะมีการตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ยในวันพฤหัสบดีนี้ (8 พ.ค.) เช่นกัน