ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกกว่า 200 จุดในวันอังคาร (3 มิ.ย.) ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดในแดนบวกเช่นกัน โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มบริษัทผลิตชิป โดยเฉพาะหุ้นอินวิเดีย (Nvidia) ขณะที่นักลงทุนจับตาการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และบรรดาประเทศคู่ค้าซึ่งรวมถึงจีน
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 42,519.64 จุด เพิ่มขึ้น 214.16 จุด หรือ +0.51%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,970.37 จุด เพิ่มขึ้น 34.43 จุด หรือ +0.58% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,398.96 จุด เพิ่มขึ้น 156.34 จุด หรือ +0.81%
แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาวแถลงเมื่อวันจันทร์ (2 มิ.ย.) ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน จะหารือกันภายในสัปดาห์นี้ โดยการเปิดเผยของโฆษกทำเนียบขาวมีขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากที่ปธน.ทรัมป์เพิ่งกล่าวหาจีนว่าละเมิดข้อตกลงการค้าเบื้องต้นที่ทั้งสองฝ่ายทำร่วมกันที่กรุงเจนีวา ขณะที่จีนออกแถลงการณ์ตอบโต้ว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่เป็นความจริง และยืนยันว่าจะปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ
สื่อหลายสำนักซึ่งรวมถึงรอยเตอร์รายงานว่า รัฐบาลทรัมป์ต้องการให้บรรดาประเทศคู่ค้ายื่นข้อเสนอทางการค้าที่ดีที่สุดภายในวันพุธ (4 มิ.ย.) เพื่อเร่งรัดการหารือก่อนถึงกำหนดเส้นตายในวันที่ 8 ก.ค. ซึ่งเป็นวันที่มาตรการภาษีตอบโต้ที่ถูกระงับไว้นั้นจะกลับมามีผลบังคับใช้
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีด้านการสื่อสารพุ่งขึ้น โดยได้ปัจจัยหนุนจากหุ้นอินวิเดียที่พุ่งขึ้น 2.8% ขณะที่หุ้นไมครอน เทคโนโลยี (Micron Technology) ทะยานขึ้น 4.15% ส่วนบรอดคอม (Broadcom) พุ่งขึ้น 3.27% แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากบริษัทประกาศว่าได้เริ่มจัดส่งชิปเครือข่ายรุ่นล่าสุดที่มุ่งเป้าไปที่การเพิ่มความเร็วของปัญญาประดิษฐ์ (AI)
นักวิเคราะห์จากบริษัท CFRA Research กล่าวว่า รายงานข่าวที่ว่าปธน.ทรัมป์และปธน.สีจะเจรจาร่วมกันทำให้ตลาดมีความหวังว่าประเด็นชิปน่าจะเป็นหนึ่งในหัวข้อการเจรจา โดยปัจจุบันอินวิเดียถูกจำกัดไม่ให้เข้าสู่ตลาดจีน ดังนั้นการเจรจาใด ๆ ที่จะเกิดขึ้นย่อมเป็นผลดีต่ออินวิเดีย และอุตสาหกรรมชิป มากกว่าที่จะเป็นผลเสีย
ความแข็งแกร่งของหุ้นอินวิเดียส่งผลให้มูลค่าตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ของบริษัทพุ่งขึ้นแตะระดับ 3.45 ล้านล้านดอลลาร์ในวันอังคาร แซงหน้ามาร์เก็ตแคปของไมโครซอฟท์ (Microsoft) ซึ่งอยู่ที่ 3.44 ล้านล้านดอลลาร์ ส่งผลให้อินวิเดียกลับมาทวงตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกได้อีกครั้ง
หุ้นธนาคารเวลส์ฟาร์โก (Wells Fargo) ปิดบวก 1.24% และปรับตัวขึ้นต่อเนื่องหลังจากตลาดปิดทำการ โดยได้ปัจจัยหนุนจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศว่าเวลส์ฟาร์โกจะไม่ต้องดำเนินการภายใต้เพดานสินทรัพย์ที่ถูกจำกัดไว้ที่ 1.95 ล้านล้านดอลลาร์อีกต่อไป ซึ่งเป็นข้อจำกัดที่เฟดได้บังคับใช้กับเวลส์ฟาร์โกในปี 2561 หลังจากที่เกิดเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการปฏิบัติด้านการขาย ซึ่งรวมถึงกรณีที่พนักงานสร้างบัญชีลูกค้าปลอมจำนวนมากเพื่อเพิ่มยอดขายผลิตภัณฑ์ด้านการเงินของธนาคาร
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการรายงานเมื่อคืนนี้ สำนักงานสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) พบว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงาน เพิ่มขึ้นเป็น 7.391 ล้านตำแหน่งในเดือนเม.ย. สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 7.1 ล้านตำแหน่ง จากระดับ 7.2 ล้านตำแหน่งในเดือนมี.ค.
นอกจากนี้ สหรัฐฯ เปิดเผยยอดคำสั่งซื้อใหม่จากภาคโรงงานลดลง 3.7% ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 3.2% หลังจากที่ตัวเลขเดือนมี.ค.เพิ่งถูกปรับทบทวนเป็นขยายตัว 3.4%