ตลาดหุ้นยุโรปปิดลดลงในวันอังคาร (7 ต.ค.) โดยได้รับแรงกดดันจากหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์และกลุ่มธนาคาร ขณะที่การดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มสินค้าหรูหราในฝรั่งเศสช่วยจำกัดการปรับตัวลงของดัชนีหุ้นยุโรปหลังเกิดความปั่นป่วนทางการเมืองเมื่อวันจันทร์
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 569.27 จุด ลดลง 0.97 จุด หรือ -0.17%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,974.85 จุด เพิ่มขึ้น 3.07 จุด หรือ +0.04%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,385.78 จุด เพิ่มขึ้น 7.49 จุด หรือ +0.03% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,483.58 จุด เพิ่มขึ้น 4.44 จุด หรือ +0.05%
ตลาดหุ้นสเปนลดลงหลังจากแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 18 ปีเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ขณะที่ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดทรงตัว หลังร่วงหนักในวันจันทร์จากการลาออกอย่างกะทันหันของนายกรัฐมนตรีเซบาสเตียน เลอกอร์นู
เลอกอร์นูที่กำลังจะพ้นตำแหน่งเริ่มการเจรจาฉุกเฉินเป็นเวลา 2 วันเพื่อพยายามจัดตั้งรัฐบาลใหม่ โดยนักวิเคราะห์เตือนว่าความวุ่นวายทางการเมืองอาจทำให้ร่างงบประมาณปี 2569 ต้องสะดุด ขณะที่ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง เผชิญแรงกดดันให้ลาออกหรือจัดการเลือกตั้งใหม่ ท่ามกลางวิกฤติที่ทำให้มีนายกรัฐมนตรีถึง 5 คนต้องออกจากตำแหน่งภายในเวลาไม่ถึง 2 ปี
ตลาดหุ้นฝรั่งเศสยังคงเป็นตลาดที่ทำผลงานแย่ที่สุดในยุโรปปีนี้ โดยเพิ่มขึ้นเพียง 8% ซึ่งแตกต่างจากหลายประเทศที่มีผลตอบแทนระดับสองหลัก สะท้อนถึงความไม่มั่นใจของนักลงทุนต่อรัฐสภาที่แตกแยกและเสถียรภาพทางการเมืองที่ลดลงนับตั้งแต่มาครงชนะเลือกตั้งในปี 2565
ในอีกด้านหนึ่ง แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทในยุโรปปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากการคาดการณ์ล่าสุด แม้ผลลัพธ์ที่คาดไว้ยังคงเป็นไตรมาสที่อ่อนแอที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2567
หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์เป็นหนึ่งในปัจจัยกดดันหลักของตลาดยุโรป โดยลดลง 0.4% หลังจากหุ้น Novo Nordisk ของเดนมาร์กร่วงลง 2.8% เนื่องจากศาลสหรัฐฯ ปฏิเสธคำร้องคัดค้านโครงการเจรจาต่อรองราคายา Medicare
ส่วนหุ้น Bayer ของเยอรมนีร่วง 2% หลังนักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs คาดว่ากำไรไตรมาส 3 จะต่ำกว่าประมาณการ
แต่หุ้นกลุ่มสินค้าหรูหราดีดตัวขึ้น 1.8% จากกระแสเปิดตัวผลงานใหม่ของแบรนด์แฟชั่นและแนวทางการปรับราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น ซึ่งสร้างความหวังว่ากลุ่มนี้อาจเริ่มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดย Morgan Stanley ปรับคำแนะนำลงทุนหุ้นของ LVMH และ Kering ขึ้นจาก "equal weight" เป็น "overweight" ส่งผลให้ราคาหุ้นของทั้งสองบริษัทพุ่งขึ้น 3.6% และ 5.7% ตามลำดับ
หุ้น B&M ร่วงลงมากที่สุดในดัชนี STOXX 600 โดยดิ่งลง 7.8% หลังผู้ค้าปลีกสินค้าราคาประหยัดคาดว่ากำไรหลักครึ่งปีแรกจะร่วงลง 28% และคาดการณ์กำไรทั้งปีลดลง
หุ้นกลุ่มน้ำมันและก๊าซปรับตัวขึ้น โดยหุ้น Shell เพิ่มขึ้น 1.5% หลังบริษัทคาดว่า การผลิตก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และผลการซื้อขายก๊าซในไตรมาส 3 จะออกมาดีขึ้น
ด้านข้อมูลเศรษฐกิจนั้น ราคาบ้านในสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้นเพียง 1.3% ในรอบ 12 เดือนถึงเดือนก.ย. ต่ำกว่าที่คาดไว้ ส่วนคำสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนีลดลงเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกันในเดือนส.ค.