ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบติดต่อกันเป็นวันที่ 3 ในวันอังคาร (30 ธ.ค.) ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ยังคงปิดในแดนลบเช่นกัน โดยตลาดถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มการเงิน ขณะที่วอลุ่มการซื้อขายยังคงเบาบางในสัปดาห์สุดท้ายของปี 2568
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 48,367.06 จุด ลดลง 94.87 จุด หรือ -0.20%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,896.24 จุด ลดลง 9.50 จุด หรือ -0.14% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 23,419.08 จุด ลดลง 55.27 จุด หรือ -0.24%
หุ้น 6 ใน 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยและกลุ่มการเงิน ปรับตัวลง 0.32% และ 0.28% ตามลำดับ ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นมากที่สุด โดยดีดตัวขึ้น 0.75% ตามด้วยหุ้นกลุ่มบริการด้านการสื่อสารปรับตัวขึ้น 0.33%
ดัชนีดาวโจนส์ถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มการเงิน ซึ่งรวมถึงหุ้น Goldman Sachs ปรับตัวลง 0.87% หุ้น American Express ลดลง 0.5% และหุ้น Visa ปรับตัวลง 0.28%
หุ้น Citigroup ปรับตัวลง 0.8% หลังจากคณะกรรมการบริหารของธนาคารได้อนุมัติการขายกิจการ AO Citibank ซึ่งเป็นเครือธุรกิจในรัสเซีย ให้กับ Renaissance Capital โดยตลาดกังวลว่าข้อตกลงนี้จะนำไปสู่การขาดทุนก่อนหักภาษีประมาณ 1.2 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการแปลงค่าเงิน
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงหุ้น Apple ปรับตัวลง 0.3% และหุ้น Nvidia ลดลง 0.4%
อย่างไรก็ดี หุ้น Meta Platforms ดีดตัวขึ้น 1.1% และเป็นปัจจัยหนุนหุ้นกลุ่มบริการด้านการสื่อสารในดัชนี S&P500 หลังจากบริษัทตกลงเข้าซื้อกิจการ แมนัส (Manus) สตาร์ตอัปปัญญาประดิษฐ์ (AI) สัญชาติจีน โดยการเข้าซื้อครั้งนี้ทำให้ Meta ได้ครอบครองระบบ AI ที่ได้รับความนิยมในภาคธุรกิจ ซึ่งสอดคล้องกับช่วงเวลาที่บริษัทกำลังเดินหน้าสร้างธุรกิจจากการลงทุนด้าน AI มูลค่ามหาศาล
เมื่อพิจารณาตลอดทั้งเดือน ดัชนีดาวโจนส์ และ S&P500 มีแนวโน้มปิดบวกติดต่อกันเป็นเดือนที่ 8 ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นรายเดือนที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2560
ขณะเดียวกัน นักลงทุนบางส่วนยังคงคาดหวังปรากฎการณ์ "ซานตาคลอสแรลลี่" (Santa Claus Rally) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ดัชนี S&P500 จะปรับตัวขึ้นในช่วง 5 วันทำการสุดท้ายของปี และ 2 วันทำการแรกของเดือนม.ค.ปีถัดไป โดยในรอบนี้ปรากฎการณ์ดังกล่าวตรงกับวันที่ 24 ธ.ค. 2568 จนถึงวันที่ 5 ม.ค. 2569
ด้านธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 9-10 ธ.ค. โดยระบุว่า กรรมการเฟดมีความเห็นที่แตกต่างกันอย่างมาก ซึ่งรวมถึงประเด็นความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญ ก่อนที่คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) จะมีมติด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 3 ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลง 0.25% สู่ระดับ 3.50-3.75% ในการประชุมครั้งนี้
สมาชิก FOMC จำนวน 9 คนได้ลงมติปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% หลังเสร็จสิ้นการประชุมในวันที่ 10 ธ.ค. ขณะที่สมาชิก 3 คนโหวตสวนมติ ซึ่งถือเป็นจำนวนการโหวตสวนมติมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2562 โดยสตีเฟน มิแรน ผู้ว่าการเฟด โหวตให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ขณะที่เจฟฟรีย์ ชมิด ประธานเฟดสาขาแคนซัส ซิตี และออสแตน กูลสบี ประธานเฟดสาขาชิคาโก โหวตให้เฟดคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมครั้งนี้
ทั้งนี้ การประชุมเฟดครั้งต่อไปจะมีขึ้นในวันที่ 27-28 ม.ค. ขณะที่นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 3.50-3.75% ในการประชุมครั้งนี้