ดาวโจนส์พุ่งกว่า 100 จุดจ่อทำนิวไฮ ต่อเนื่องจากที่ทะยานขึ้นวานนี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday June 21, 2019 22:36 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 100 จุดในวันนี้ โดยยังคงดีดตัวขึ้นต่อไป และมีแนวโน้มปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากทะยานขึ้นอย่างมากเมื่อวานนี้

ณ เวลา 22.23 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 26,871.11 จุด บวก 117.94 จุด หรือ 0.44%

ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์ทะยานขึ้นจากการคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในเดือนหน้า

เฟดมีมติ 9-1 เสียงในการคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 2.25-2.50% ในการประชุมเมื่อวันพุธ ตามที่ตลาดการเงินคาดการณ์ไว้

นายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟด สาขาเซนต์หลุยส์ เป็นกรรมการเฟดเพียงคนเดียวที่ลงมติให้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย

นอกจากนี้ เฟดยังได้ส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ และการคาดการณ์เงินเฟ้อที่ลดลง

จากการสำรวจกรรมการเฟดทั้งหมด 17 ราย จำนวนเกือบครึ่งหนึ่งสนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วง 6 เดือนข้างหน้า โดย 7 รายสนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% จำนวน 2 ครั้งก่อนสิ้นปีนี้ ขณะที่ 1 รายสนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% จำนวน 1 ครั้ง และ 1 รายสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% จำนวน 1 ครั้ง ส่วนอีก 8 รายคาดว่าไม่มีการปรับอัตราดอกเบี้ย

FedWatch ซึ่งเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาฟิวเจอร์อัตราดอกเบี้ยสหรัฐของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่า มีโอกาส 100% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ค.

FedWatch บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่า มีโอกาส 64% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 2.00-2.25% ในเดือนก.ค. และมีโอกาส 36% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ระดับ 1.75-2.00%

นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยหนุนจากการคาดการณ์ความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน

นายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) กล่าวว่า เขาจะเจรจาการค้ากับเจ้าหน้าที่จีน ก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะพบปะกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง นอกรอบการประชุมสุดยอดของกลุ่ม G20 ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 28-29 มิ.ย.

"ผมจะสนทนาทางโทรศัพท์กับเจ้าหน้าที่จีน ขณะที่ผมและคุณสตีเวน มนูชินจะพบกับเขาที่นครโอซากา ก่อนที่ประธานาธิบดีทรัมป์ จะพบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง" เขากล่าว

"เรากำลังเจรจากัน และเราจะพบกัน โดยเรามีเป้าหมายเดียวกันในการปรับปรุงความสัมพันธ์ และรักษาความได้เปรียบของสหรัฐ ซึ่งเราหวังว่าจะสามารถไปสู่จุดนั้น" นายไลท์ไฮเซอร์กล่าว

ทั้งนี้ การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนประสบความล้มเหลวในเดือนที่แล้ว โดยที่ประชุมไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้า ขณะที่สหรัฐได้เพิ่มการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 25% จากเดิมที่ระดับ 10% ส่งผลให้จีนทำการตอบโต้ ด้วยการเพิ่มการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 25% จากเดิมที่ระดับ 10%

ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ทวีตข้อความในวันนี้ ระบุว่า เขาไม่รีบร้อนที่จะโจมตีอิหร่าน ขณะที่เขาสั่งระงับการใช้ปฏิบัติการทางทหารต่ออิหร่านเมื่อวานนี้ เนื่องจากไม่ต้องการให้เกิดการสูญเสียเลือดเนื้อและชีวิตของชาวอิหร่าน และยืนยันว่าเขาต้องการที่จะใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจกดดันอิหร่านมากกว่า

ปธน.ทรัมป์เปิดเผยว่า เขาได้สั่งระงับการใช้ปฏิบัติการทางทหารต่ออิหร่าน ก่อนที่การโจมตีจะเกิดขึ้น 10 นาที เพราะเขาเชื่อว่าการโจมตีดังกล่าวเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ เนื่องจากต้องแลกมาด้วยชีวิตของชาวอิหร่าน เมื่อเทียบกับการที่อิหร่านยิงโดรนสอดแนมของสหรัฐ

"เมื่อคืนนี้ เราเตรียมถล่มเป้าหมาย 3 แห่งในอิหร่าน และเมื่อผมถามว่า การโจมตีนี้จะทำให้มีผู้เสียชีวิตเท่าไหร่ นายพลท่านหนึ่งตอบว่า 150 คน ผมจึงสั่งระงับการโจมตีดังกล่าว ก่อนเวลาที่กำหนด 10 นาที เพราะมันเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ เมื่อเทียบกับการที่อิหร่านยิงโดรนของสหรัฐ" ข้อความในทวิตเตอร์ระบุ

ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต และภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 50.6 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 40 เดือน หลังจากแตะระดับ 50.9 ในเดือนพ.ค.

การปรับตัวลงของดัชนี PMI ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของคำสั่งซื้อใหม่ และการจ้างงาน ขณะที่ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้า, ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ และการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ดี ดัชนียังคงอยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่า ภาคธุรกิจของสหรัฐยังคงมีการขยายตัว

ส่วนดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้น อยู่ที่ 50.1 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 117 เดือน จากระดับ 50.5 ในเดือนพ.ค.

สำหรับดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้น อยู่ที่ 50.7 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 40 เดือน จากระดับ 50.9 ในเดือนพ.ค.

ทางด้านสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองเพิ่มขึ้น 2.5% สู่ระดับ 5.34 ล้านยูนิตในเดือนพ.ค. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.25 ล้านยูนิต จากระดับ 5.21 ล้านยูนิตในเดือนเม.ย.

ยอดขายบ้านได้รับแรงหนุนจากการร่วงลงของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ