ดาวโจนส์พลิกพุ่งกว่า 100 จุด หุ้น"แอปเปิล"นำตลาด

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday September 25, 2020 22:36 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์พลิกพุ่งขึ้นกว่า 100 จุดในวันนี้ หลังร่วงลงในช่วงแรก โดยได้แรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี นำโดยแอปเปิล อิงค์

ณ เวลา 22.23 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 26,928.98 จุด บวก 113.54 จุด หรือ 0.42%

ถึงแม้ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นในวันนี้ แต่ได้ร่วงลง 3% ในสัปดาห์นี้ และมีแนวโน้มปรับตัวลงเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน ซึ่งจะเป็นช่วงขาลงที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2562

หุ้นแอปเปิล อิงค์ ซึ่งเป็น 1 ใน 30 หลักทรัพย์ที่ใช้คำนวณดัชนีดาวโจนส์ พุ่งขึ้น 2.3% หลังจากที่บริษัทมอร์แกน สแตนลีย์ออกรายงานระบุว่า นักลงทุนควรเข้าซื้อหุ้นแอปเปิลในขณะนี้ หลังจากที่ราคาหุ้นดิ่งลงอย่างหนักก่อนหน้านี้

ทั้งนี้ ราคาหุ้นแอปเปิลร่วงลงมากกว่า 20% เมื่อเทียบกับระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ทำไว้ในเดือนก.ย. ซึ่งมอร์แกน สแตนลีย์ระบุว่าราคาหุ้นแอปเปิลในขณะนี้เป็นราคาที่น่าดึงดูดให้เข้าซื้อ ก่อนที่บริษัทจะเปิดตัว iPhone 12 ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญต่างคาดการณ์ว่า แอปเปิลจะเปิดตัว iPhone 12 ในวันที่ 13 ต.ค.

"เรามองว่าการดิ่งลงของราคาหุ้นแอปเปิลในช่วงนี้ ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะส่งแรงซื้อก่อนการเปิดตัว iPhone 12 ท่ามกลางปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัท" รายงานระบุ

นอกจากนี้ ราคาหุ้นแอปเปิลยังพุ่งขึ้นในวันนี้ แม้ว่าคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ซึ่งเป็นองค์กรบริหารของสหภาพยุโรป (EU) ตัดสินใจยื่นฏีกาต่อ Court of Justice ซึ่งเป็นศาลสูงสุดของยุโรป เพื่อให้ศาลมีคำตัดสินให้แอปเปิลจ่ายภาษีย้อนหลัง 1.3 หมื่นล้านยูโรให้แก่รัฐบาลไอร์แลนด์

ก่อนหน้านี้ General Court ซึ่งเป็นศาลอุทธรณ์ยุโรป มีคำตัดสินในเดือนก.ค.ให้คำสั่งของ EC ในการบังคับให้แอปเปิลจ่ายภาษีย้อนหลังให้แก่รัฐบาลไอร์แลนด์ ถือเป็นโมฆะ

ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์ยุโรปมีคำวินิจฉัยว่า EC ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ารัฐบาลไอร์แลนด์ให้สิทธิพิเศษทางด้านภาษีแก่แอปเปิล

EC มีคำตัดสินในเดือนส.ค.2559 ว่า การที่รัฐบาลไอร์แลนด์ให้ผลประโยชน์ทางด้านภาษีแก่แอปเปิลถือเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายภายใต้ข้อบังคับเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือของรัฐใน EU เนื่องจากไอร์แลนด์อนุญาตให้แอปเปิลสามารถจ่ายภาษีน้อยกว่าบริษัทอื่นๆ โดย EC สั่งให้แอปเปิลจ่ายภาษีย้อนหลังให้แก่รัฐบาลไอร์แลนด์เป็นจำนวนเงิน 1.3 หมื่นล้านยูโร

โกลด์แมน แซคส์ประกาศปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในไตรมาส 4 สู่ระดับ 3% จากเดิมที่ระดับ 6% หากสภาคองเกรสยังคงไม่สามารถอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่

ทั้งนี้ รายงานของโกลด์แมน แซคส์ระบุว่า หากสภาคองเกรสและทำเนียบขาวยังคงมีความขัดแย้งกันเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่ในการเยียวยาภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สิ่งนี้ก็จะถ่วงการใช้จ่ายของผู้บริโภคจนถึงสิ้นปีนี้

ก่อนหน้านี้ โกลด์แมน แซคส์คาดว่าสภาคองเกรสจะสามารถอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1 ล้านล้านดอลลาร์ภายในสิ้นเดือนก.ย. แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้น ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างสภาคองเกรสและทำเนียบขาว และขณะนี้ทั้งสองหน่วยงานก็กำลังให้ความสนใจต่อการสรรหาผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลสูงสุดคนใหม่ และการผ่านงบประมาณเพื่อหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานรัฐบาล หรือชัตดาวน์ ส่งผลให้โกลด์แมน แซคส์คาดการณ์ในขณะนี้ว่า การพิจารณาออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่อาจถูกลากยาวออกไปเป็นต้นปี 2564

ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนส.ค. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 1.5%

อย่างไรก็ดี ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนพื้นฐาน ซึ่งเป็นคำสั่งซื้อสินค้าทุนที่ไม่รวมเครื่องบิน และสินค้าด้านอาวุธ โดยเป็นสิ่งบ่งชี้แผนการใช้จ่ายของภาคธุรกิจ เพิ่มขึ้น 1.8% ในเดือนส.ค. สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.5% หลังจากพุ่งขึ้น 2.5% ในเดือนก.ค.

นักวิเคราะห์เตือนว่าการซื้อขายในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะประสบความผันผวนในสัปดาห์หน้า โดยได้รับผลกระทบจากการดีเบตระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จากพรรครีพับลิกัน และนายโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐ จากพรรคเดโมแครต

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าหากทรัมป์มีคะแนนนำในการดีเบตดังกล่าว ก็จะส่งผลให้หุ้นในกลุ่มเชื้อเพลิงฟอสซิล และบริษัทผลิตอาวุธดีดตัวขึ้น และหากไบเดนมีคะแนนนำในการดีเบต ก็จะทำให้หุ้นในกลุ่มที่มีการค้าทั่วโลก และกลุ่มพลังงานหมุนเวียนปรับตัวขึ้น

อย่างไรก็ดี มีการคาดการณ์ว่า ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะทรุดตัวลง หากไบเดนคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 3 พ.ย. แต่ตลาดจะขานรับชัยชนะของทรัมป์ จากการที่ไบเดนมีนโยบายเพิ่มภาษีคนรวยเพื่อช่วยคนจน โดยเขาจะยกเลิกมาตรการปรับลดอัตราภาษีของทรัมป์ ด้วยการปรับขึ้นอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสู่ระดับ 28% จากเดิมที่ทรัมป์ปรับลดจาก 35% สู่ระดับ 21% ในปัจจุบัน นอกจากนี้ ไบเดนจะปรับเพิ่มภาษีของครัวเรือนที่มีรายได้มากกว่า 400,000 ดอลลาร์ต่อปี โดยมีการคาดการณ์ว่าการปรับขึ้นภาษีดังกล่าวจะช่วยให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้น 4 ล้านล้านดอลลาร์ภายในเวลา 10 ปี ขณะที่ไบเดนเปิดเผยว่าเขาจะเพิ่มการลดหย่อนภาษีสำหรับชนชั้นกลาง และให้เงินอุดหนุนภาษีสำหรับการเลี้ยงดูบุตรมากขึ้น

การดีเบตในสัปดาห์หน้าจะมีขึ้นในวันอังคารที่ 29 ก.ย. เวลา 21.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือตรงกับวันพุธที่ 30 ก.ย.เวลา 08.00 น.ตามเวลาไทย โดยจะมีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลกผ่านทางสถานี CNN ซึ่งผู้เข้าดีเบตจะต้องแสดงวิสัยทัศน์ในเรื่องของศาลฏีกาสหรัฐ, เศรษฐกิจสหรัฐ และการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ทรัมป์เสียเปรียบไบเดนทั้งในเรื่องของเศรษฐกิจสหรัฐที่ย่ำแย่ และเรื่องโควิด-19 ที่ผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตยังคงพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งดูเหมือนทรัมป์ก็รู้ตัวว่าเพลี่ยงพล้ำในประเด็นดังกล่าว

ล่าสุด ทรัมป์ปฏิเสธที่จะรับปากว่า การถ่ายโอนอำนาจจะเป็นไปอย่างราบรื่น หากเขาพ่ายแพ้การเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพ.ย. โดยทรัมป์คัดค้านการลงคะแนนเสียงผ่านทางระบบไปรษณีย์ ซึ่งเขาอ้างว่ามีการโกงกันได้ง่าย

ขณะนี้ผลสำรวจของสำนักโพลล์ต่างๆล้วนฟันธงว่าไบเดนกำลังมีคะแนนนำทรัมป์ แต่การที่สหรัฐตัดสินผู้ชนะจากคะแนนของคณะผู้เลือกตั้ง (electoral vote) ไม่ใช่คะแนนดิบจากผู้ลงคะแนนทั่วประเทศ (popular vote) ก็อาจทำให้ทรัมป์สร้างปาฏิหาริย์อีกครั้งเหมือนที่เคยทำไว้เมื่อ 4 ปีที่แล้ว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ