ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (Standard Chartered) ได้แจ้งผลประกอบการไตรมาส 1/2568 มีกำไรเพิ่มขึ้น 10% ซึ่งดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ อันเป็นผลจากธุรกิจด้านบริหารความมั่งคั่ง ตลาดทุน และรายได้ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ที่กระเตื้องขึ้น ช่วยชดเชยรายได้จากดอกเบี้ยที่ลดลง อย่างไรก็ดี ทางธนาคารได้แสดงความกังวลทำนองเดียวกับธนาคารเอชเอสบีซี (HSBC) ว่า การขึ้นภาษีศุลกากรอาจส่งผลต่อคุณภาพสินเชื่อ
สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ธนาคารซึ่งเน้นกิจการในเอเชีย แอฟริกา และตะวันออกกลาง รายงานผลกำไรก่อนหักภาษีใน Q1/68 อยู่ที่ 2.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับ 1.91 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ที่ 1.905 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
บิล วินเทอร์ส ซีอีโอของสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดกล่าวว่า "การตั้งกำแพงภาษีการค้าขึ้นมานั้น ได้เพิ่มความสลับซับซ้อนทางเศรษฐกิจและการเมืองโลก เราจึงยังคงต้องเฝ้าจับตาสถานการณ์ภายนอกต่อไป"
ธนาคารได้กันสำรองหนี้สูญในไตรมาสนี้เป็นเงิน 219 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 24% จากปีก่อน โดยมีเค้าลางว่าความตึงเครียดทางการค้าเริ่มส่งผลกระทบต่อคุณภาพสินเชื่อแล้ว
ธนาคารชี้แจงเพิ่มเติมว่า การตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น 23 ล้านดอลลาร์ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการประเมินความเสี่ยงที่สูงขึ้นจากสถานการณ์ความตึงเครียดทางการค้าโลกและภูมิรัฐศาสตร์ เนื่องจากความไม่แน่นอนเรื่องภาษีการค้าที่เพิ่มมากขึ้น
ขณะเดียวกัน ธุรกิจส่วนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยของธนาคาร ยังคงมีผลงานดี โดยเฉพาะรายได้จากธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Solutions) ที่พุ่งขึ้น 28% ตามด้วยธุรกิจธนาคารระดับโลกและตลาดทุนระดับโลกที่เติบโต 17% และ 14% ตามลำดับ