นักวิเคราะห์จากเจพีมอร์แกน (JPMorgan) มองว่าปี 2569 จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดหุ้นอาเซียน โดยคาดการณ์ว่าผลกำไรและมูลค่าหุ้นทั่วภูมิภาคจะเริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม เจพีมอร์แกนยังคงมุมมองที่ระมัดระวังต่อประเทศไทย โดยมองว่าไทยเผชิญกับความท้าทายเรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจ ต่างจากเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์และเวียดนามที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
แม้เจพีมอร์แกนจะส่งสัญญาณบวกต่อภาพรวมในภูมิภาค แต่สำหรับประเทศไทยยังคงให้น้ำหนักการลงทุนค่อนข้างลบ เพราะคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2569 จะยังคงอ่อนแอ โดยเจพีมอร์แกนคาดว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของไทยจะขยายตัวเพียง 1.3% ในปี 2569 ด้วยปัจจัยเสี่ยงจากนโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐฯ และปัญหาภาระหนี้ภายในประเทศ
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนในไทยจะเติบโตเพียง 4% ซึ่งต่ำที่สุดในอาเซียน ทั้งยังชี้ว่ากองทุนในประเทศได้เข้าซื้อหุ้นไปมากแล้ว ทำให้เหลือแรงส่งจากเงินทุนใหม่ค่อนข้างน้อย ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังคงมีสถานะขายสุทธิ
ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนทางการเมืองยังเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้นักลงทุนสถาบันไม่กล้าขยับตัวมากนัก โดยเจพีมอร์แกนมองว่าอาจต้องรอจนถึงการเลือกตั้งในปี 2569 เพื่อให้ความเชื่อมั่นกลับคืนมาอีกครั้ง
แม้ภาพรวมของไทยยังคงมีความท้าทาย แต่เจพีมอร์แกนยังมีมุมมองบวกอยู่บ้างกับหุ้นบางกลุ่ม โดยหุ้นกลุ่มธนาคารมีความน่าสนใจด้วยความชัดเจนเรื่องการปันผล กลุ่มโทรคมนาคมมีแนวโน้มกำไรดีขึ้น รวมถึงกลุ่มการแพทย์และสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีรายได้สม่ำเสมอ
สำหรับประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนนั้น เจพีมอร์แกนมีมุมมองเชิงบวกอย่างมากต่อหุ้นสิงคโปร์และเวียดนาม ด้วยปัจจัยหนุนจากความชัดเจนในเรื่องนโยบาย ส่วนฟิลิปปินส์นั้น นักวิเคราะห์เห็นความสมดุลที่น่าดึงดูดระหว่างความเสี่ยงกับผลตอบแทน
ด้านมาเลเซียและอินโดนีเซีย นักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกนมีมุมมอง "เป็นกลาง" (Neutral)