ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันจันทร์ (3 พ.ย.) ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในปีนี้ โดยล่าสุดนักลงทุนได้ลดคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนธ.ค.
ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.07% แตะที่ 99.874
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 154.19 เยน จากระดับ 154.09 เยนในวันศุกร์ (31 ต.ค.) ขณะเดียวกันก็แข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.8077 ฟรังก์ จากระดับ 0.8046 ฟรังก์ และแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.4052 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.4015 ดอลลาร์แคนาดา
ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1520 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1525 ดอลลาร์ในวันศุกร์ ส่วนเงินปอนด์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.3138 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3140 ดอลลาร์
คณะกรรมการเฟดได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเมื่อวันที่ 29 ต.ค. แต่ก็ไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อไป เนื่องจากปัญหาชัตดาวน์ทำให้เฟดขาดแคลนข้อมูลที่สำคัญ
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่เฟดยังมีความเห็นที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย โดยสตีเฟน มิแรน หนึ่งในสมาชิกคณะผู้ว่าการเฟดสนับสนุนให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม ขณะที่ออสติน กูลส์บี ประธานเฟดสาขาชิคาโก มีท่าทีระมัดระวังเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม เนื่องจากเงินเฟ้อยังคงสูงกว่าเป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2%
ขณะนี้ นักลงทุนให้น้ำหนักต่ำกว่า 70% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนธ.ค. จากเดิมที่ให้น้ำหนัก 94% เมื่อสัปดาห์ก่อน
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการรายงานเมื่อคืนนี้ สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐฯ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตปรับตัวลงสู่ระดับ 48.7 ในเดือนต.ค. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 49.4 จากระดับ 49.1 ในเดือนก.ย.
ทางด้านเอสแอนด์พี โกลบอลเปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 52.5 ในเดือนต.ค. จากระดับ 52.0 ในเดือนก.ย. โดยดัชนี PMI ปรับตัวสูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ภาวะขยายตัวของภาคการผลิตสหรัฐฯ และเป็นการขยายตัวติดต่อกันเดือนที่ 3
นักลงทุนจับตาศาลฎีกาสหรัฐฯ ซึ่งมีกำหนดไต่สวนในวันพุธนี้ (5 พ.ย.) ต่อคดีที่ว่า มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ หลังจากที่ศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยให้เพิกถอนมาตรการภาษีศุลกากรส่วนใหญ่ของเขา โดยระบุว่า ปธน.ทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) ปี 1977
นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนจากออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) ในวันพุธนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้แนวโน้มตลาดแรงงานของสหรัฐฯ