ผู้เห็นเหตุการณ์ระบุว่า เรือยามชายฝั่งลำหนึ่งได้เดินทางมาถึงมอลตา พร้อมร่างผู้เสียชีวิต 24 รายและผู้รอดชีวิต 27 รายในเหตุการณ์เรืออับปาง ที่อาจจะคร่าชีวิตผู้อพยพมากถึง 900 ราย ขณะที่ทางการอิตาลีระบุว่านับเป็นความไร้ประสิทธิภาพของสหภาพยุโรป (EU) ที่ปล่อยให้อิตาลีจัดการกับวิกฤตผู้อพยพเพียงลำพัง
นายกรัฐมนตรีมัตโตโอ เรนซีของอิตาลี กล่าวย้ำว่า ปัญหาของลิเบียต้องได้รับการแก้ไข “จากสาเหตุที่เป็นรากเหง้า" ผู้อพยพกว่า 3,500 รายได้สังเวยชีวิตไปในความพยายามที่จะข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเมื่อปีที่แล้ว จากบริเวณชายแดนของลิเบียเพื่อเข้ามายังยุโรป โดยยอดผู้เสียชีวิตได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงต้นปีนี้
“กลุ่มผู้ลักลอบนำผู้อพยพเข้าเมืองได้ทำกำไรมหาศาลจากการเดินทางในลักษณะนี้ โดยคิดราคาหลายพันยูโรต่อผู้อพยพแต่ละราย ขณะที่ผู้อพยพส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากลิเบีย แต่มาจากเขตรอยต่อซาเฮลและแอฟริกาตะวันตก" นายฟรานเซสโก โทซาโต นักวิเคราะห์จาก Ce.S.I. Centre for International Studies ในกรุงโรมกล่าวกับซินหัว
เขาตั้งข้อสังเกตว่าลิเบียกำลังเผชิญปัญหาการมี 2 รัฐสภาที่เป็นอริกัน ซึ่งได้แก่ สภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับการยอมรับจากนานประเทศ และสภาแห่งชาติทั่วไปที่กลุ่มอิสลามให้การสนับสนุน “สถานการณ์ดังกล่าวบานปลายเกินการควบคุม และจำเป็นต้องมีแนวทางแก้ไขอย่างเร่งด่วนเพื่อจัดการประเด็นผู้อพยพ"
นายโทซาโตมองว่า การหารือกับเผ่าต่างๆ ซึ่งเป็นโครงสร้างหลักของสังคมลิเบียนั้น นับว่ามีความสำคัญ “ชาวลิเบียควรมีบทบาทหลักในความพยายามของนานาประเทศ เพื่อที่จะปรับโครงสร้างของประเทศลิเบีย พวกเขาควรมานั่งหารือร่วมกันและหาทางออกสำหรับอนาคตของลิเบีย"
นักวิเคราะห์รายนี้กล่าวว่า ลิเบียต้องการรัฐบาลที่มีความเป็นเอกภาพ ซึ่งจะสามารถปกครองประเทศด้วยกฎหมาย “การทำให้ลิเบียมีเสถียรภาพมากขึ้น ขณะที่ลาดตระเวณทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปควบคู่กัน เป็นเพียงทางเดียวสำหรับกลุ่มประเทศยุโรปที่จะยุติความหายนะจากการอพยพดังกล่าว"
ด้านนายมอริซิโอ สคาเลีย อัยการอิตาลีที่อยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบการเดินทางเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายจากลิเบียมายังอิตาลี ระบุว่า มีผู้อพยพจำนวนมากถึง 1 ล้านคนที่พร้อมจะเดินทางออกจากชายฝั่งลิเบีย โดยคาดว่าจะมีการเดินทางกันจำนวนมากในช่วงฤดูร้อน
“ในช่วงต้นปี 2554 เราได้แนะนำอย่างจริงจังต่อประชาคมระหว่างประเทศแล้วว่าอย่าต่อต้านมูอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบียในขณะนั้น" นายอัลเฟรโด คาร์มิเน เซสตารี ประธานหอการค้าอิตาลีแอฟริกา หรือ Italafrica กล่าวกับซินหัว “เราต้องการให้ใช้แนวทางทางการทูตมากกว่า"
“ดังนั้น ลิเบียในปัจจุบันจึงไม่มีการควบคุมแนวชายแดน และไม่มีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับอิตาลีและประเทศอื่นๆในยุโรป"
Italafrica ประเมินว่าบริษัทของอิตาลีที่ทำธุรกิจในลิเบียได้รับความเสียหาย 1 พันล้านยูโร (1.07 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เป็นอย่างน้อย
นายเซสตารีเน้นย้ำว่า “อิตาลีมีประวัติศาสตร์ของความสัมพันธ์ฉันท์มิตรกับลิเบีย แม้แต่ในช่วงที่เกิดความวุ่นวายในลิเบีย สถาบันต่างๆของอิตาลีก็ยังมีศักยภาพในการนำคณะทำงานระหว่างประเทศเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างชาวลิเบียและกับชาวลิเบีย
เขาสรุปว่า ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ หรือการทูตเชิงเศรษฐกิจ เป็นเพียงแนวทางที่เร่งด่วนเพียงประการเดียวที่จะจัดการประเด็นผู้อพยพ ก่อนที่จะเกิดโศกนาฏกรรมทางทะเลที่ร้ายแรงขึ้นอีก
บทวิเคราะห์โดย มาร์ซิอา เดอ กิอูลี จากสำนักข่าวซินหัว