สำนักงานสถิติแห่งชาติเยอรมนีเปิดเผยในวันนี้ (8 ก.ค.) ว่า ยอดส่งออกของเยอรมนีในเดือนพ.ค. ร่วงลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยมีสาเหตุหลักจากอุปสงค์จากสหรัฐฯ ที่ลดลงเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน หลังจากที่บริษัทต่าง ๆ แห่กักตุนสินค้าไปก่อนหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ข้อมูลระบุว่า ยอดส่งออกลดลง 1.4% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะลดลงเพียง 0.2% ส่วนยอดนำเข้าลดลง 3.8% ส่งผลให้ดุลการค้าของเยอรมนีเกินดุล 1.84 หมื่นล้านยูโรในเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้นจาก 1.57 หมื่นล้านยูโรในเดือนเม.ย.
เมื่อพิจารณาเป็นรายประเทศ พบว่าการส่งออกไปยังประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป (EU) ลดลง 2.2% และประเทศนอกกลุ่ม EU ลดลง 0.3% ส่วนสหรัฐฯ ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุด ดิ่งลงหนักถึง 7.7% ขณะที่การส่งออกไปยังจีนลดลง 2.9%
สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นขณะที่ปธน.ทรัมป์ได้กำหนดเส้นตายในวันพุธที่ 9 ก.ค. ให้สหภาพยุโรปและคู่ค้าอื่น ๆ บรรลุข้อตกลงการค้าเพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษีในอัตราสูง
อย่างไรก็ดี โฆษกคณะกรรมาธิการยุโรปกล่าวว่า EU ยังคงตั้งเป้าที่จะบรรลุข้อตกลงให้ได้ภายในวันพุธ หลังจากที่เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป และปธน.ทรัมป์ ได้มี "การพูดคุยที่ดีต่อกัน"
ทั้งนี้ สหรัฐฯ ถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของเยอรมนีในปี 2567 โดยมีมูลค่าการค้ารวม 2.53 แสนล้านยูโร ดังนั้นเศรษฐกิจเยอรมนีซึ่งพึ่งพาการส่งออกเป็นหลักจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงหากมาตรการกำแพงภาษีถูกนำมาใช้จริง