สำนักงานศุลกากรจีน (GAC) เปิดเผยในวันนี้ (14 ก.ค.) ว่า ยอดส่งออกเดือนมิ.ย.ของจีนปรับตัวขึ้น 5.8% เมื่อพิจารณาในรูปสกุลเงินดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 5% เนื่องจากภาคธุรกิจของจีนยังคงเร่งส่งออกสินค้าอย่างต่อเนื่องเพื่อใช้ประโยชน์จากการที่รัฐบาลสหรัฐฯ ยกเว้นภาษีศุลกากรชั่วคราว ก่อนที่จะถึงกำหนดเส้นตายในเดือนส.ค.
ส่วนการนำเข้าในเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น 1.1% ซึ่งแม้จะน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 1.3% แต่ก็นับเป็นครั้งแรกในปีนี้ที่ยอดนำเข้าของจีนปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยสาเหตุที่ทำให้ยอดนำเข้าปรับตัวลงในปีนี้มาจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ซบเซา
ในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา มาตรการภาษีศุลกากรที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เรียกเก็บจากจีนในอัตรา 145% มีผลบังคับใช้ช่วงสั้น ๆ ในขณะที่จีนได้ตอบโต้ด้วยการปรับขึ้นภาษีเช่นกัน อีกทั้งมีการใช้มาตรการอื่น ๆ กับสหรัฐฯ เช่นการควบคุมการส่งออกแร่ธาตุสำคัญ
อย่างไรก็ดี จีนและสหรัฐฯ ได้บรรลุข้อตกลงชั่วคราวเมื่อวันที่ 12 พ.ค. ซึ่งนำไปสู่การระงับเรียกเก็บภาษีเป็นเวลา 90 วัน แม้ข้อตกลงดังกล่าวเกือบจะล้มเหลวเนื่องจากสหรัฐฯ กล่าวหาว่าจีนล่าช้าในการดำเนินการตามคำมั่นสัญญาที่จะผ่อนคลายข้อจำกัดการส่งออกแร่หายาก
มาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์ได้กระตุ้นให้ผู้ส่งออกของจีนเร่งกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดอื่น ๆ โดยจีนส่งออกในเดือนเม.ย.พุ่งขึ้น 8.1% และส่งออกในเดือนพ.ค.เพิ่มขึ้น 4.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี เนื่องจากการพุ่งขึ้นของยอดส่งออกไปยังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสหภาพยุโรปนั้น สามารถชดเชยการชะลอตัวของส่งออกไปยังสหรัฐฯ