อินโดนีเซียเปิดเผยข้อมูลทางการในวันนี้ (1 ต.ค.) ว่า ดุลการค้าของอินโดนีเซียในเดือนส.ค. เกินดุลมากถึง 5.49 พันล้านดอลลาร์ และยังเป็นตัวเลขเกินดุลรายเดือนที่สูงที่สุดในรอบเกือบ 3 ปี สาเหตุเนื่องมาจากการนำเข้าสินค้าที่ลดลงอย่างฮวบฮาบนั้น มีน้ำหนักมากกว่าการเติบโตของการส่งออกที่ชะลอตัวลงไป
ตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าที่บรรดานักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ว่าอินโดนีเซียจะเกินดุลเพียง 4 พันล้านดอลลาร์ และเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่เกินดุลอยู่ 4.17 พันล้านดอลลาร์
เศรษฐกิจของอินโดนีเซียซึ่งใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น ได้อานิสงส์จากการเกินดุลการค้าในระดับสูงมาหลายเดือนติดต่อกัน เพราะบรรดาผู้ส่งออกต่างเร่งส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯ ก่อนล่วงหน้า เพื่อให้ทันกำหนดเส้นตายเรื่องภาษีในวันที่ 7 ส.ค.
สำหรับตัวเลขการส่งออกในเดือนส.ค. พบว่าขยายตัวขึ้น 5.78% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า คิดเป็นมูลค่า 2.496 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้จะเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำที่สุดในรอบ 4 เดือน แต่ก็ยังนับว่าสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดไว้ที่ 5.5%
การส่งออกไปยังสหรัฐฯ มีมูลค่า 2.72 พันล้านดอลลาร์ในเดือนส.ค. ลดลงจากเดือนก.ค. ถึง 12.4% แต่หากเทียบกับเดือนเดียวกันของปี 2567 ก็ยังนับว่าสูงขึ้นอยู่ราว 3%
ทั้งนี้ สหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกสำคัญของอินโดนีเซีย ได้ตั้งกำแพงภาษีสำหรับสินค้าอินโดนีเซียไว้ที่ 19% ซึ่งเป็นระดับเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค และต่ำกว่าตัวเลข 32% ที่เคยประกาศไว้เมื่อเดือนเม.ย.
สำหรับภาพรวมการส่งออกในเดือนส.ค. นั้น ยังได้รับแรงหนุนจากการส่งออกสินค้าจำพวกน้ำมันปาล์ม นิกเกิล ทองคำ และเครื่องประดับที่เพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย
ส่วนทางด้านการนำเข้าหดตัวลงถึง 6.56% เหลือมูลค่า 1.947 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะลดลงเพียง 1.6% โดยสินค้าที่นำเข้าลดลงมากที่สุด ได้แก่ ทองคำและเครื่องประดับ เหล็กและเหล็กกล้า เคมีภัณฑ์อินทรีย์ และธัญพืช
ขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อประจำปีของอินโดนีเซียในเดือนก.ย. ได้ขยับขึ้นไปอยู่ที่ 2.65% จาก 2.31% ซึ่งแม้จะสูงขึ้นกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 2.50% แต่ก็ยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ธนาคารกลางกำหนดไว้ที่ 1.5%-3.5%
การที่เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นนี้มีสาเหตุมาจากราคาอาหารและค่าขนส่งที่สูงขึ้น