ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือนมี.ค. ในวันนี้ (8 พ.ค.) โดยระบุว่า กรรมการคนหนึ่งของ BOJ เตือนว่ามาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้คณะกรรมการ BOJ ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.5% ในการประชุมเมื่อวันที่ 19 มี.ค.
กรรมการคนดังกล่าวของ BOJ ระบุว่า หากภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่ลงอีก BOJ ก็จำเป็นต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษในการพิจารณาเกี่ยวกับช่วงเวลาในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะที่กรรมการบางคนได้แสดงมุมมองว่า BOJ ควรใช้ความระมัดระวังในการตรวจสอบสถานการณ์การค้าและผลกระทบของสถานการณ์เหล่านี้ นอกเหนือไปจากตรวจสอบผลกระทบของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ด้านกรรมการ BOJ อีกคนหนึ่งกล่าวว่า ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นจะเผชิญภาวะขาลงนั้น มีมากขึ้น เนื่องจากความไม่แน่นอนของหลายปัจจัย เช่น นโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ และภาวะชะงักงันในห่วงโซ่อุปทาน นอกเหนือไปจากการแข่งขันอันดุเดือดกับบริษัทจีน
อย่างไรก็ดี กรรมการบางคนของ BOJ ระบุว่า ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นในขณะนี้ไม่จำเป็นต้องหมายความว่า BOJ ควรจะคงนโยบายการเงินที่ระดับปัจจุบันและดำเนินนโยบายผ่อนคลายการเงินต่อไป โดยกรรมการคนหนึ่งกล่าวว่า BOJ อาจจะเผชิญกับสถานการณ์ที่ควรดำเนินนโยบายที่เด็ดขาด
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า รายงานการประชุมดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ากรรมการ BOJ ได้แสดงจุดยืนในทิศทางเดียวกันว่า BOJ ควรจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปหากกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศและเงินเฟ้อยังคงเคลื่อนไหวสอดคล้องกับการคาดการณ์ของ BOJ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอยู่ในระดับ "ต่ำอย่างมีนัยสำคัญ"
ส่วนในการประชุมครั้งหลังสุดเมื่อวันที่ 1 พ.ค. คณะกรรมการ BOJ ยังคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ระดับ 0.5%