รัฐบาลไต้หวันเปิดเผยในวันนี้ (31 ก.ค.) ว่า การเจรจาภาษีในประเด็นทางเทคนิคกับสหรัฐฯ ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว โดยทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกันในหลายประเด็น ซึ่งรวมถึงมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี ซึ่งขณะนี้เหลือเพียงขั้นตอนการตัดสินใจจากฝั่งสหรัฐฯ เท่านั้น
ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้ประกาศใช้มาตรการภาษีตอบโต้ (reciprocal tariffs) โดยตั้งเป้าเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากไต้หวันในอัตรา 32% เมื่อเดือนเม.ย. ที่ผ่านมา ก่อนจะประกาศระงับแผนดังกล่าวชั่วคราวเป็นเวลา 90 วัน ซึ่งนำมาสู่การเจรจาระหว่างไต้หวันกับสหรัฐฯ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
โฆษกรัฐบาลไต้หวันระบุว่า นอกจากการเจรจาเรื่องภาษีแล้ว "ยังมีการหยิบยกประเด็นด้านการลงทุนและการจัดซื้อขึ้นมาหารือด้วย" พร้อมเสริมว่าทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงการออกแถลงการณ์ร่วมกัน
แถลงการณ์จากรัฐบาลไต้หวันระบุว่า คณะผู้แทนการค้าซึ่งนำโดยรองนายกรัฐมนตรี เจิ้ง ลี่จวิน ได้เจรจากับคณะเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ มาแล้วทั้งสิ้น 4 รอบ โดยมีบุคคลสำคัญเข้าร่วม อาทิ เจมีสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ และโฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ที่ผ่านมา ไต้หวันพยายามอย่างยิ่งที่จะกระชับความสัมพันธ์ทางการค้ากับคู่ค้าหลัก โดยเฉพาะสหรัฐฯ ซึ่งเป็นคู่ค้าอันดับสองรองจากจีน ท่ามกลางความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจที่ทวีความรุนแรงขึ้น
ดังนั้น ผลลัพธ์ของการเจรจาครั้งนี้จึงไม่เพียงแต่จะส่งผลสำคัญต่อการกำหนดยุทธศาสตร์การค้าในอนาคตและจุดยืนของไต้หวันในห่วงโซ่อุปทานโลกเท่านั้น แต่ยังถือเป็นหัวใจสำคัญต่อเศรษฐกิจของไต้หวันซึ่งพึ่งพาการส่งออกเป็นหลักอีกด้วย