หุ้นซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ (Samsung Electronics) และเอสเค ไฮนิกซ์ (SK Hynix) สองยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตชิปของเกาหลีใต้ ปรับตัวลดลงในวันนี้ (1 ก.ย.) หลังรัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศมาตรการเข้มงวดที่ทำให้บริษัทผู้ผลิตชิปหน่วยความจำต้องเผชิญอุปสรรคในการส่งอุปกรณ์สำคัญไปยังโรงงานในจีน
หุ้นซัมซุงร่วงกว่า 2% ขณะที่หุ้นเอสเค ไฮนิกซ์ ดิ่งลงกว่า 4% ในการซื้อขายช่วงเช้าที่ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ได้ประกาศถอดบริษัทซัมซุง ไชน่า เซมิคอนดักเตอร์ (Samsung China Semiconductor) และเอสเค ไฮนิกซ์ เซมิคอนดักเตอร์ (ประเทศจีน) (SK Hynix Semiconductor (China) ออกจากรายชื่อบริษัทที่ได้สถานะ "ผู้ใช้ปลายทางที่ผ่านการตรวจสอบ" (Validated End-User - VEU) ซึ่งหมายความว่าบริษัทเหล่านี้จะไม่ได้รับสิทธิ์ในการขอใบอนุญาตส่งออกได้โดยสะดวกอีกต่อไป ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อการดำเนินงานของบริษัทและห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรม
คำสั่งที่ไม่คาดคิดนี้อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการผลิตของทั้งสองบริษัทในตลาดเซมิคอนดักเตอร์จีน เพราะแม้ว่าบริษัทเกาหลีใต้ทั้งสองแห่งนี้จะมีโรงงานผลิตชิปหน่วยความจำในเกาหลีใต้ แต่จีนก็เป็นส่วนสำคัญของกำลังการผลิตทั่วโลกของพวกเขา โดย
ซัมซุง และเอสเค ไฮนิกซ์ แข่งขันกับไมครอน เทคโนโลยี (Micron Technology) ของสหรัฐฯ ในการผลิตชิ้นส่วนสำคัญสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่ ตั้งแต่ iPhone ของบริษัทแอปเปิ้ล อิงค์ (Apple Inc.) ไปจนถึงเซิร์ฟเวอร์ AI ของอินวิเดีย คอร์ป (Nvidia Corp.)
ก่อนหน้านี้ ซัมซุง และเอสเค ไฮนิกซ์ ได้ดำเนินงานในจีนภายใต้กฎระเบียบที่อนุญาตให้นำเข้าอุปกรณ์ผลิตชิปได้โดยไม่ต้องยื่นขอใบอนุญาตใหม่ในแต่ละครั้ง แต่วารสารของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ (Federal Register) ระบุว่า บริษัทเหล่านี้มีเวลา 120 วันก่อนที่สิทธิพิเศษนี้จะหมดอายุลง และหลังจากนั้น บริษัทต่าง ๆ สามารถยื่นขอใบอนุญาตเพื่อดำเนินงานต่อไปได้
รายงานระบุว่า การตัดสินใจของสหรัฐฯ มีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงกฎโครงการ VEU ซึ่งจะจำกัดความสามารถในการผลิตชิปในจีน และอาจส่งผลต่อการเข้าถึงเทคโนโลยีบางประเภทของจีน
ทั้งนี้ โครงการ VEU เป็นโครงการที่ช่วยอำนวยความสะดวกด้านการค้าเทคโนโลยีขั้นสูงระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศที่มีคุณสมบัติเหมาะสม การได้รับสถานะ VEU จะช่วยลดภาระด้านการขอใบอนุญาต โดยเปิดโอกาสให้ผู้ส่งออกสามารถจัดส่งสินค้าที่กำหนดไปยังหน่วยงานที่ได้รับการอนุมัติล่วงหน้าภายใต้ใบอนุญาตทั่วไป แทนที่จะต้องยื่นขอใบอนุญาตส่งออกหลายฉบับสำหรับแต่ละรายการ