นักลงทุนสหรัฐฯ ที่เพิ่งกลับเข้าตลาดในวันอังคาร (2 ก.ย.) หลังวันหยุดเนื่องในวันแรงงานเมื่อวันจันทร์ ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้า หลังศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ตัดสินว่า การเก็บภาษีนำเข้าสินค้าส่วนใหญ่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย ซึ่งอาจนำไปสู่การต่อสู้คดีในศาลสูงสุด
แต่ศาลได้อนุญาตให้ภาษีของทรัมป์ยังคงบังคับใช้ต่อไปได้จนถึงวันที่ 14 ต.ค. เพื่อให้รัฐบาลทรัมป์มีโอกาสยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสูงสุดของสหรัฐฯ ขณะที่คำตัดสินนี้ไม่ได้ส่งผลต่อภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม
นักลงทุนบางส่วนกังวลว่า หากศาลสูงสุดยืนยันคำตัดสินว่าภาษีของทรัมป์ผิดกฎหมาย สหรัฐฯ ก็อาจต้องคืนภาษีให้กับคู่ค้า ซึ่งอาจเพิ่มความกังวลด้านการคลังของสหรัฐฯ
นักวิเคราะห์จาก Glenmede ระบุว่า คำถามใหญ่ก็คือ ศาลจะพิจารณาว่า ภาษีทั้งหมดที่เก็บภายใต้อำนาจฉุกเฉินจะต้องถูกส่งคืนให้กับคู่ค้าหรือไม่ ซึ่งคิดเป็นมูลค่าเกือบ 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวลงในวันอังคาร ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ระยะยาวพุ่งขึ้น ท่ามกลางการเทขายพันธบัตรทั่วโลก เนื่องจากความกังวลด้านการคลัง
ทรัมป์กล่าวว่า รัฐบาลของเขาจะขอให้ศาลสูงสุดพิจารณาคำตัดสินเรื่องภาษีนำเข้าอย่างรวดเร็วตั้งแต่วันพุธนี้ (3 ก.ย.) เพื่อให้ได้คำตัดสินโดยเร็ว
บรรดานักลงทุนระบุว่า ตอนนี้ยังอยู่ในโหมดรอดูสถานการณ์ แต่ความไม่แน่นอนเรื่องภาษีเพิ่มความกังวลที่มีอยู่แล้วในตลาดจากปัจจัยลบอื่น ๆ เช่น ความเป็นอิสระของเฟด และความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเข้าสู่ภาวะ stagflation ซึ่งเป็นภาวะที่เงินเฟ้อสูงขณะที่เศรษฐกิจชะลอตัว
นักวิเคราะห์จาก Plante Moran Financial Advisors ระบุว่า ไม่ว่าจะเป็นระดับภาษี ช่วงเวลา หรือคำถามเกี่ยวกับความถูกต้อง ต้องปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินไป ผลลัพธ์ในระยะสั้นยังต้องรอดูว่าคู่ค้าจะตอบสนองอย่างไร และเรื่องนี้จะผ่านการตัดสินของศาลสูงสุดเร็วแค่ไหน
การเก็บภาษีในอัตราสูงของทรัมป์ต่อคู่ค้าสร้างความผันผวนในตลาดมาตั้งแต่ต้นเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา แต่ความชัดเจนเรื่องระดับภาษี และความหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดดอกเบี้ยได้ช่วยให้ราคาหุ้นฟื้นตัวขึ้นใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
สก็อตต์ เบสเซนต์ รมว.คลังสหรัฐฯ กล่าวว่า รัฐบาลมีแผนสำรอง หากศาลสูงสุดไม่ยืนยันสิทธิ์ของทรัมป์ในการใช้มาตรการฉุกเฉินในการกำหนดภาษี
หนึ่งในอำนาจภาษีที่รัฐบาลสามารถใช้คือ มาตรา 338 ของกฎหมาย Smoot-Hawley Tariff Act ค.ศ. 1930 ซึ่งอนุญาตให้ประธานาธิบดีเก็บภาษีนำเข้าได้สูงสุดถึง 50% เป็นเวลา 5 เดือนกับสินค้าจากประเทศที่ถูกพิจารณาว่าเลือกปฏิบัติด้านการค้ากับสหรัฐฯ โดยนักวิเคราะห์มองว่า รัฐบาลทรัมป์ยังมีอำนาจด้านภาษีหลายทางเลือก จึงเชื่อว่ากระบวนการอาจเปลี่ยนไป แต่ผลลัพธ์ของภาษีจะยังคงเหมือนเดิม