กลุ่มนักลงทุนซึ่งบริหารสินทรัพย์รวมมูลค่า 11.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เรียกร้องให้บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอาหารและผู้ค้าปลีกหันมาเพิ่มการผลิตโปรตีนจากพืช เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของห่วงโซ่อุปทานและลดความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางอาหาร
แนวโน้มดอกเบี้ยทั่วโลกที่สูงขึ้น และอุณหภูมิที่เพิ่มต่อเนื่องได้ผลักดันให้ต้นทุนอาหารสัตว์สูงขึ้น ขณะเดียวกันราคาสินค้าอย่างไข่นั้นยังได้รับผลกระทบจากการระบาดของไข้หวัดนก ทำให้ระบบการผลิตที่พึ่งพาโปรตีนจากสัตว์เปราะบางมากขึ้น และอาจส่งผลให้นักลงทุนบางรายถอนการลงทุนหากเห็นว่าความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
รายงานจากเครือข่าย Farm Animal Investment Risk and Return Initiative (FAIRR) ซึ่งเผยแพร่ในวันนี้ (28 ต.ค.) ระบุว่า กลุ่มนักลงทุน 73 รายได้ร่วมกันผลักดันให้บริษัทอาหารและผู้ค้าปลีกใช้ประโยชน์จากโอกาสทางธุรกิจและสุขภาพที่แหล่งโปรตีนทางเลือกนำเสนอ โดยนักลงทุนได้เข้าหารือกับบริษัท 20 แห่งผ่านทาง FAIRR รวมถึงผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น เนสท์เล่ (Nestle), ดานอน (Danone), คราฟต์ ไฮนซ์ (Kraft Heinz) และผู้ค้าปลีกอย่าง อะเมซอน (Amazon), คาร์ฟู (Carrefour) และ วอลมาร์ท (Walmart)
โซฟี คัมปุยส์ ที่ปรึกษาอาวุโสด้านการลงทุนของบริษัทจัดการสินทรัพย์ MN ในเนเธอร์แลนด์กล่าวว่า การกระจายแหล่งโปรตีนถือเป็นปัจจัยสำคัญในการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในอุตสาหกรรมอาหารและค้าปลีก โดยเธอได้ยกตัวอย่างที่ดีจากบริษัทอาโฮลด์ เดลเฮซ (Ahold Delhaize) ที่ตั้งเป้าขายโปรตีนจากพืชคิดเป็น 50% ของยอดขายโปรตีนทั้งหมดในยุโรปภายในปี 2573