Challenger, Gray & Christmas ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านการจ้างงาน เปิดเผยว่า การประกาศเลิกจ้างพนักงานของภาคเอกชนในสหรัฐพุ่งสูงขึ้นในเดือนตุลาคม เนื่องจากบริษัทต่าง ๆ ทำการปรับโครงสร้างพนักงานให้เหมาะสมกับยุคของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่กำลังมีการขยายตัว ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในตลาดแรงงาน
Challenger ระบุว่า การปลดพนักงานในเดือนตุลาคมมีจำนวนรวม 153,074 ตำแหน่ง เพิ่มขึ้นถึง 183% จากเดือนกันยายน และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 175% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดสำหรับเดือนตุลาคมนับตั้งแต่ปี 2546
'เช่นเดียวกับในปี 2546 เทคโนโลยีที่สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กำลังพลิกโฉมภูมิทัศน์การทำงาน'
'ในช่วงที่การสร้างงานอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบหลายปี การประกาศปลดพนักงานในไตรมาสสุดท้ายของปีจึงบ่งชี้สถานการณ์ที่ไม่สดใส' นายแอนดี แชลเลนเจอร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายรายได้ของ Challenger กล่าว
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมเทคโนโลยีเป็นภาคส่วนที่มีการปลดพนักงานมากที่สุด ขณะที่อยู่ในช่วงของการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อตอบรับการนำ AI เข้ามาใช้งาน โดยบริษัทเทคโนโลยีประกาศปลดพนักงาน 33,281 ตำแหน่ง ซึ่งมากกว่าเดือนกันยายนเกือบ 6 เท่า
ส่วนการปลดพนักงานในอุตสาหกรรมสินค้าเพื่อผู้บริโภคเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3,409 ตำแหน่ง ขณะที่องค์กรที่ไม่แสวงหากำไร ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการปิดหน่วยงานรัฐบาล หรือชัตดาวน์ รายงานการปลดพนักงานมากถึง 27,651 ตำแหน่งนับตั้งแต่ต้นปี 2568 โดยเพิ่มขึ้นถึง 419% จากช่วงเดียวกันของปี 2567
โดยรวมแล้ว ในปีนี้ บริษัทต่าง ๆ ได้ประกาศปลดพนักงานรวมกว่า 1.1 ล้านตำแหน่ง เพิ่มขึ้น 65% จากปี 2567 และเป็นระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งมีการแพร่ระบาดของโควิด-19
ทั้งนี้ เดือนตุลาคมถือเป็นเดือนที่มีการเลิกจ้างมากที่สุดในไตรมาสสุดท้ายนับตั้งแต่ปี 2551
'บางอุตสาหกรรมกำลังปรับโครงสร้าง หลังจากช่วงที่มีการจ้างงานอย่างมากในยุคโควิด แต่ในขณะเดียวกัน การนำ AI มาใช้, การใช้จ่ายของผู้บริโภคและบริษัทที่ชะลอตัว และต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ล้วนทำให้บริษัทต่าง ๆ ทำการรัดเข็มขัด และหยุดการจ้างงานใหม่'
'ผู้ที่ถูกเลิกจ้างในขณะนี้ กำลังพบว่าการหางานใหม่ทำได้ยากขึ้น ซึ่งอาจทำให้ตลาดแรงงานอ่อนตัวลงยิ่งกว่าเดิม' นายแชลเลนเจอร์กล่าว