นายเชง ซ่งเฉิง อดีตผู้อำนวยการสำนักงานสถิติและการวิเคราะห์ของธนาคารกลางจีนเตือนว่า จีนมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับความเสียหายทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ หากรัฐบาลพยายามที่จะควบคุมภาวะฟองสบู่ด้านสินทรัพย์ผ่านการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวด
นายเชงกล่าวว่า การกำกับดูแลตลาดอย่างใกล้ชิดมากขึ้นเพื่อลดการเก็งกำไรในสินทรัพย์ทางการเงิน ถือเป็นแนวทางที่ดีกว่าการใช้นโยบายคุมเข้มด้านการเงิน
ทั้งนี้ นายเชงแนะนำว่า จีนควรผ่อนคลายข้อจำกัดด้านการลงทุนของภาคธุรกิจจีนในต่างประเทศ เช่น การควบรวมกิจการและซื้อกิจการ เพื่อระบายเม็ดเงินให้ไหลออกนอกประเทศมากขึ้น และเพื่อสนับสนุนให้บริษัทจีนก้าวสู่การลงทุนในตลาดโลก และลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูงและอุตสาหกรรมพลังงาน โดยในปี 2559 จีนได้ใช้มาตรการควบคุมการลงทุนในต่างประเทศ เนื่องจากกังวลเรื่องเม็ดเงินทุนไหลออก ซึ่งเป็นเหตุให้มูลค่าการลงทุนในต่างประเทศทรุดตัวลงอย่างมาก
นายเชงยังได้ระบุถึงการที่จีนใช้นโยบายเป็นวงกว้างในเมืองต่างๆ เพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของราคาอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและจำกัดการซื้อบ้านเดี่ยว โดยนโยบายเหล่านี้มีเป้าหมายที่จะควบควบคุมการเก็งกำไรในตลาดการเงิน
นอกจากนี้ นายเชงซึ่งปัจจุบันเป็นอาจารย์ที่วิทยาลัย China Europe International Business School ในกรุงปักกิ่งกล่าวว่า จีนไม่ควรดำเนินนโยบายคุมเข้มด้านการเงินในระยะใกล้นี้ เนื่องจากการอัตราการขยายตัวด้านการลงทุนและการอุปโภคบริโภคของจีนยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่จากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
นักลงทุนกำลังจับตาท่าทีของธนาคารกลางจีนอย่างใกล้ชิดว่าจะใช้นโยบายควบคุมสภาพล่องในปีนี้หรือไม่ หลังจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารกลางจีนได้เรียกร้องให้มีการใช้นโยบายคุมเข้มด้านการเงินเพื่อสกัดภาวะฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้น ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนถูกเทขายอย่างหนักในเดือนม.ค.ที่ผ่านมา