สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพุธ (10 ธ.ค.) หลังจากมีรายงานว่าสหรัฐฯ ได้ยึดเรือบรรทุกน้ำมันลำหนึ่งที่บริเวณนอกชายฝั่งเวเนซุเอลา ซึ่งนักลงทุนมองว่าอาจส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมัน นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้ปัจจัยบวกจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมล่าสุด ซึ่งจะช่วยหนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจและอุปสงค์น้ำมัน
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 21 เซนต์ หรือ 0.36% ปิดที่ 58.46 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 27 เซนต์ หรือ 0.44% ปิดที่ 62.21 ดอลลาร์/บาร์เรล
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า หน่วยยามฝั่งของสหรัฐฯ ได้ยึดเรือบรรทุกน้ำมันลำหนึ่งนอกชายฝั่งเวเนซุเอลา แต่ไม่ได้ระบุชื่อเรือลำดังกล่าว
นักวิเคราะห์จาก Commodity Context กล่าวว่า การยึดเรือบรรทุกน้ำมันของเวเนซุเอลาทำให้นักลงทุนคาดการณ์ว่าจะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันในทันที ขณะที่นักวิเคราะห์จาก Onyx Capital Group คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันจะปรับตัวขึ้นอีก หากมีข่าวการยึดเรือบรรทุกน้ำมันเพิ่มเติมหลังจากนี้
ตลาดยังได้ปัจจัยหนุนจากการที่เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 3.50-3.75% ในการประชุมเมื่อวันพุธตามคาด ซึ่งเป็นการปรับลดดอกเบี้ย 3 ครั้งติดต่อกัน ส่วนในรายงานคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% จำนวน 1 ครั้งในปี 2569 ซึ่งสอดคล้องกับการส่งสัญญาณในการประชุมเดือนก.ย.
ทั้งนี้ ข่าวสหรัฐฯ ยึดเรือบรรทุกน้ำมันนอกชายฝั่งเวเนซุเอลา และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด ช่วยให้ราคาน้ำมันฟื้นตัวขึ้นสู่แดนบวก หลังจากราคาน้ำมัน WTI ร่วงลงเกือบ 1% ในระหว่างวัน ภายหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลงเพียง 1.8 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 5 ธ.ค. ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะลดลง 2.3 ล้านบาร์เรล