ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เริ่มมีบทบาทมากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญบางรายกล่าวว่า AI จะนำความมั่งคั่งมาสู่ทุกคน ขณะที่บางรายเตือนว่า AI อาจทำให้ระเบียบสังคมและเศรษฐกิจที่มีอยู่พังทลายลง
ล่าสุด คำเตือนที่รุนแรงที่สุดมาจาก อีแมด มอสตาค ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Stability AI และเป็นบุคคลที่รู้จักกันดีในวงการเทคโนโลยี โดยเขากล่าวว่า ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป อัตราว่างงานจะเพิ่มขึ้นจากการที่มนุษย์สูญเสียตำแหน่งงานอันเนื่องจาก AI และการสูญเสียงานจะเร่งตัวขึ้นในปีต่อ ๆ ไป
อีแมดกล่าวว่า มหาเศรษฐีด้านเทคโนโลยีรู้ดีอยู่แล้วว่า AI จะทำลายงานมนุษย์ และเรื่องนี้อาจทำให้เกิดความไม่สงบในสังคม และนำไปสู่การล่มสลายของระบบปัจจุบันที่กำกับดูแลสังคมและเศรษฐกิจ โดยผลกระทบอาจรุนแรงมากจนมหาเศรษฐีเหล่านี้กำลังสร้างบังเกอร์เพื่อเตรียมรับมือเหตุการณ์นี้
ในการสนทนาทางพอดแคสต์กับดร.มิเรียม ฟรังก์ซัวส์ อีแมดได้พูดถึงผลกระทบของ AI และเตือนว่ามนุษยชาติกำลังจะก้าวข้ามเส้นแบ่งสำคัญที่เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงเป็นเครื่องมือที่ดีเท่านั้น แต่ยังเหนือกว่าแรงงานมนุษย์ในเชิงเศรษฐกิจอีกด้วย
'ปีหน้าจะเป็นปีที่โมเดล AI ซึ่งก่อนหน้านี้ยังไม่ดีพอ อยู่ ๆ ก็จะเก่งขึ้นมา และจากนั้นการสูญเสียงานจะเริ่มขึ้น ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าจะสิ้นสุดตรงไหน' อีแมดกล่าว และเสริมว่า งานใดก็ตามที่ทำผ่านหน้าจอได้ ก็จะสามารถถูกแทนที่ในเวลา 2-3 ปีข้างหน้า เนื่องจาก AI สามารถทำงานที่ใช้ระยะเวลายาวนานที่ซับซ้อน โดยไม่เหน็ดเหนื่อย ไม่ผิดพลาด และมีต้นทุนต่ำกว่ามาก
อีแมดประเมินว่าการใช้งาน "พนักงานดิจิทัล" หนึ่งคนอาจมีต้นทุนต่ำกว่า 1,000 ดอลลาร์ต่อปีในไม่ช้า และต้นทุนจะลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทต่าง ๆ ไม่สามารถปฏิเสธการใช้ AI แทนมนุษย์ โดยคนกลุ่มแรกที่จะได้รับผลกระทบจากการถูกแทนที่ด้วย AI คือบัณฑิตจบใหม่
'อัตราว่างงานของเยาวชนจะพุ่งสูง' เขาเตือน พร้อมเสริมว่า งานระดับกลางจะได้รับผลกระทบตามมา ทำให้เกิดการแทนที่แรงงานเป็นวงกว้างเร็วกว่าการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีครั้งก่อน ๆ มาก
ดร.ฟรังก์ซัวส์ตั้งข้อสังเกตว่า ขณะที่คนทั่วไปกำลังดิ้นรน บรรดามหาเศรษฐีก็เตรียมตัวรับมือภาวะเลวร้ายที่สุดด้วยการสร้างบังเกอร์ ซึ่งอีแมดตอบว่า มีเหตุผลที่พวกเขากำลังวางแผนทำสิ่งนี้
'ใช่ ผมรู้ว่าซีอีโอด้าน AI จำนวนมาก งดการปรากฏตัวต่อสาธารณะทั้งหมด พวกเขาคิดว่าจะเกิดกระแสต่อต้าน AI ในปีหน้า'
อีแมดเตือนว่า ช่วงเวลา 1,000 วันต่อจากนี้มีความสำคัญมาก หากไม่มีการกำกับดูแล AI แบบโปร่งใสและเป็นประชาธิปไตย เขากลัวว่าสังคมอาจมุ่งสู่ความเหลื่อมล้ำ ความไม่สงบ และการลดลงของอำนาจมนุษย์ ขณะที่กลุ่มชนชั้นนำจะเฝ้ามองอย่างปลอดภัยจากหลังประตูเหล็กเสริมความแข็งแรง
ท่ามกลางกระแสข่าวเกี่ยวกับผู้บริหารในซิลิคอน แวลลีย์กำลังสร้างบังเกอร์ รายงานของสำนักข่าว BBC ระบุว่า มาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของบริษัท เมตา แพลตฟอร์มส์ หรือเดิมชื่อ เฟซบุ๊ก กำลังสร้างคฤหาสน์ป้อมปราการขนาดใหญ่บนเกาะคาไว ในรัฐฮาวาย ซึ่งมีบังเกอร์ใต้ดินขนาด 5,000 ตารางฟุต พร้อมอาหารและพลังงานสำรอง โดยพื้นที่โครงการรวมกว่า 1,400 เอเคอร์ มีอุโมงค์เชื่อมอาคารหลายหลัง ประตูทนแรงระเบิด และการออกแบบคล้ายป้อมเพื่อความอยู่รอดแบบพึ่งพาตนเอง มากกว่าบ้านพักตากอากาศ
แม้ซัคเคอร์เบิร์กอ้างว่าที่นี่เป็นแค่ "ที่หลบพักผ่อน" ไม่ใช่บังเกอร์วันสิ้นโลก แต่ขนาดและความลับของโครงการทำให้เกิดคำถามขึ้นมากมาย และเขาไม่ได้เป็นรายเดียวที่ทำเช่นนี้ แต่มหาเศรษฐีเทคโนโลยีรายอื่นก็ซื้อที่ดินห่างไกล จ้างที่ปรึกษาด้านความปลอดภัย และสร้างบังเกอร์ที่สามารถอยู่ได้นานหลายเดือน โดยปีเตอร์ ธีล นักธุรกิจชื่อดังในซิลิคอน แวลลีย์ ก็ได้ลงทุนสร้างบังเกอร์ในนิวซีแลนด์ และผู้นำบริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ อีกหลายรายก็ได้ลงทุนในที่หลบภัยหรูหราทั่วโลก
นิตยสาร The New Yorker รายงานว่า แซม อัลท์แมน ซีอีโอของ OpenAI ซึ่งเป็นผู้สร้าง ChatGPT ก็ยอมรับว่าเขามีหลุมหลบภัยใต้ดินที่เขาเรียกว่า "doomsday prepper" หรือบังเกอร์วันสิ้นโลก โดยภายในมีปืน ทองคำ โพแทสเซียมไอโอไดด์ ยาปฏิชีวนะ แบตเตอรี่ น้ำ และหน้ากากป้องกันแก๊สพิษของกองกำลังป้องกันอิสราเอล