โฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยเมื่อวันจันทร์ (28 ก.ค.) ทางช่องฟ็อกซ์นิวส์ว่า การขยายระยะเวลาพักรบทางการค้ากับจีนออกไปอีก 90 วัน เป็นผลลัพธ์ที่มีความเป็นไปได้สูง ขณะที่การเจรจาระดับสูงระหว่างสองประเทศกำลังดำเนินอยู่ อย่างไรก็ตาม เขาย้ำว่าการตัดสินใจสุดท้ายขึ้นอยู่กับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ท่าทีของลุตนิกมีขึ้นหลังการเจรจารอบใหม่ระหว่างสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกได้เริ่มต้นขึ้นที่กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน โดยมีเหอ ลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรีจีน และสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เป็นหัวหน้าคณะผู้แทน การเจรจารอบก่อนหน้านี้ส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายตกลงลดมาตรการภาษีตอบโต้และผ่อนปรนการควบคุมการส่งออกบางรายการ
ข้อตกลงฉบับปัจจุบันจะหมดอายุในวันที่ 12 ส.ค. ทำให้การเจรจารอบนี้มุ่งเน้นการขยายเวลาเพื่อเปิดทางให้ทั้งสองฝ่ายแก้ไขประเด็นสำคัญที่ยังค้างคา อาทิ ภาษีที่เชื่อมโยงกับการลักลอบค้าเฟนทานิล และกรณีที่จีนซื้อน้ำมันจากรัสเซียและอิหร่านซึ่งถูกคว่ำบาตร โดยมีกำหนดการเจรจาต่อเนื่องในวันนี้ (29 ก.ค.)
ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ กำลังเผชิญเส้นตายทางการค้ากับคู่ค้าอื่น ๆ โดยมาตรการภาษีตอบโต้ (reciprocal tariffs) มีกำหนดบังคับใช้กับหลายสิบประเทศในวันที่ 1 ส.ค. แม้ปธน.ทรัมป์จะเคยระงับมาตรการดังกล่าวชั่วคราวหลังประกาศเมื่อเดือนเม.ย. เพื่อเปิดให้มีการเจรจา แต่กลับมีข้อตกลงที่บรรลุผลเพียงไม่กี่ฉบับ ทำให้ปธน.ทรัมป์เริ่มใช้มาตรการภาษีกับประเทศที่เจรจาไม่สำเร็จ และระบุว่ากำลังพิจารณาอัตราภาษี 15-20% สำหรับกว่า 150 ประเทศที่เหลือ
ลุตนิกย้ำถึงอำนาจการตัดสินใจของปธน.ทรัมป์ว่า "เขาเคยปิดดีลใหญ่ ๆ มาแล้ว และตอนนี้ก็ถือไพ่เหนือกว่าทุกอย่าง ... เขาจะเป็นคนกำหนดเองว่าอัตราภาษีควรเป็นเท่าไร และประเทศต่าง ๆ ต้องเปิดตลาดให้เรามากแค่ไหน" พร้อมเสริมว่า ปธน.ทรัมป์จะพิจารณาข้อเสนอบางส่วน แต่จะกำหนดอัตราภาษีสำหรับทุกประเทศให้แล้วเสร็จภายในสิ้นสัปดาห์นี้
ที่ผ่านมา ปธน.ทรัมป์แสดงท่าทีพร้อมลดอัตราภาษีให้แก่ประเทศที่ยื่นข้อเสนอใหม่เข้ามา เช่น กรณีของญี่ปุ่นที่สามารถเจรจาลดภาษีจาก 25% เหลือ 15% ซึ่งครอบคลุมถึงการส่งออกรถยนต์ แลกกับการจัดตั้งกองทุนมูลค่า 5.5 แสนล้านดอลลาร์เพื่อลงทุนในสหรัฐฯ ขณะที่เกาหลีใต้กำลังเจรจาในลักษณะเดียวกัน