เมื่อวันพฤหัสบดี (7 ส.ค.) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้เพิ่มแรงกดดันต่อภาคธนาคาร ด้วยการลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารฉบับใหม่ ที่ห้ามสถาบันการเงินปฏิเสธการให้บริการแก่บุคคลใด ๆ โดยอ้างอิงความเชื่อทางการเมืองหรือศาสนา ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เรียกว่า "debanking" หรือการเลือกปฏิบัติทางการเงิน
สาระสำคัญของคำสั่งนี้ คือการมอบหมายให้หน่วยงานกำกับดูแลเข้าตรวจสอบธนาคารทุกแห่ง เพื่อหาหลักฐานการกีดกันลูกค้าจากความเชื่อทางการเมืองหรือศาสนา ทั้งในปัจจุบันและอดีต พร้อมทั้งให้อำนาจในการสั่งปรับหรือใช้มาตรการทางวินัยอื่น ๆ ตามความเหมาะสม นอกจากนี้ หน่วยงานกำกับอาจส่งต่อบางกรณีให้กระทรวงยุติธรรมพิจารณาดำเนินคดีทางแพ่ง และต้องกลับไปทบทวนแก้ไขนโยบายของตนเองที่อาจเป็นต้นเหตุให้ธนาคารเลือกปฏิบัติด้วย
แหล่งข่าวในแวดวงธนาคารเผยว่า คำสั่งนี้เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ โดยให้เวลาหน่วยงานกำกับดูแล 180 วันในการตรวจสอบและทบทวนนโยบายภายใน อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญหลังจากนี้คือ หน่วยงานกำกับแต่ละแห่งจะตีความคำสั่งนี้อย่างไร และธนาคารจะต้องปรับตัวเพื่อปฏิบัติตามในรูปแบบใด
คำสั่งฝ่ายบริหารฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามกดดันภาคการเงินที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากฝั่งอนุรักษนิยมในสหรัฐฯ ซึ่งมองว่าตนเองถูกปฏิเสธการให้บริการอย่างไม่เป็นธรรมเพียงเพราะความเชื่อทางการเมือง
ก่อนหน้านี้ ทรัมป์เพิ่งให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ CNBC โดยอ้างว่าตนเองก็ถูกเลือกปฏิบัติเช่นกัน พร้อมกล่าวหาโดยไม่มีหลักฐานว่า ธนาคารเจพีมอร์แกน เชส (JPMorgan Chase) และแบงก์ออฟอเมริกา (Bank of America) ปฏิเสธไม่รับเงินฝากของเขาหลังพ้นจากตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก
ด้านเจพีมอร์แกนยืนยันว่าไม่มีนโยบายปิดบัญชีด้วยเหตุผลทางการเมือง ขณะที่แบงก์ออฟอเมริการะบุว่าไม่ขอแสดงความเห็นในเรื่องของลูกค้า แต่พร้อมรับฟังแนวทางที่ชัดเจนขึ้นจากผู้กำกับดูแล
ในคำสั่งยังระบุด้วยว่า มีสถาบันการเงินบางแห่งเข้าร่วม "โครงการสอดแนมที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล" เพื่อจับตากลุ่มอนุรักษนิยม หลังเหตุการณ์บุกรัฐสภาสหรัฐฯ โดยผู้สนับสนุนทรัมป์เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2564 พร้อมชี้ว่า "พฤติกรรมเช่นนี้ขัดต่อหลักสังคมเสรี ที่การให้บริการธนาคารควรตั้งอยู่บนพื้นฐานความเสี่ยงที่จับต้องได้ วัดผลได้ และมีเหตุผลสมควร"
ในแถลงการณ์ร่วม กลุ่มสมาคมธนาคารรายใหญ่ได้ขอบคุณรัฐบาลทรัมป์ที่พยายามควบคุม "กฎระเบียบที่ไร้ทิศทาง" และมองว่าคำสั่งใหม่นี้จะช่วยสร้างความชัดเจนที่ภาคธนาคารรอคอยมานาน โดยระบุว่า "ผลประโยชน์สูงสุดของธนาคารคือการรับฝากเงิน ให้สินเชื่อ และสนับสนุนลูกค้าให้ได้มากที่สุด แต่น่าเสียดายที่การกำกับดูแลที่เกินขอบเขต ดุลยพินิจของผู้ตรวจสอบ และกฎเกณฑ์ที่คลุมเครือ ได้กลายมาเป็นอุปสรรคสำคัญ"