นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวว่า เขาพร้อมที่จะเจรจากับสหภาพยุโรป (EU) ในประเด็นการแยกตัวของอังกฤษออกจาก EU (Brexit) จนถึงนาทีสุดท้าย ก่อนถึงเส้นตายในวันที่ 31 ต.ค. และหากมีความจำเป็น เขาก็จะตัดสินใจในวันดังกล่าวที่จะนำอังกฤษออกจาก EU โดยไม่มีการทำข้อตกลง
ทั้งนี้ นายจอห์นสันมีเวลาเหลือเพียง 68 วันในการโน้มน้าวให้ผู้นำ EU เห็นชอบต่อการทำข้อตกลง Brexit ฉบับใหม่ ขณะที่ทั้งสองฝ่ายยังคงไม่สามารถประนีประนอมในประเด็น backstop ซึ่งเป็นประเด็นที่อ่อนไหวที่สุดในข้อตกลงดังกล่าว
นโยบาย backstop เป็นนโยบายในการรับประกันว่า จะไม่มีการกลับไปใช้มาตรการควบคุมชายแดนอย่างเข้มงวดระหว่างไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร และสาธารณรัฐไอร์แลนด์ ซึ่งเป็นรัฐสมาชิกของ EU
ที่ผ่านมา กลุ่มผู้สนับสนุนให้อังกฤษแยกตัวจาก EU ต่างมีความกังวลว่า การใช้นโยบาย backstop จะเป็นการผูกมัดให้อังกฤษจะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของ EU อย่างไม่มีกำหนด
EU ยังคงมีจุดยืนที่จะไม่รื้อฟื้นการเจรจาข้อตกลง Brexit กับอังกฤษ โดยนายโดนัลด์ ทัสก์ ประธานคณะมนตรียุโรป กล่าวปฏิเสธข้อเรียกร้องของนายจอห์นสันที่ต้องการเปิดการเจรจาครั้งใหม่เกี่ยวกับข้อตกลง Brexit รวมทั้งระบุว่า นายจอห์นสันไม่ได้เสนอทางเลือกอื่นๆที่เป็นไปได้ที่จะมาแทนนโยบาย backstop
"ผู้ที่คัดค้านนโยบาย backstop แต่ก็ไม่เสนอทางเลือกอื่นๆที่เป็นไปได้ ถือว่าเป็นผู้สนับสนุนการตั้งด่านตรวจตามชายแดน ถึงแม้ว่าพวกเขาไม่ยอมรับมันก็ตาม" นายทัสก์ระบุที่ผ่านมา EU ยืนยันมาโดยตลอดว่า นโยบาย backstop ต้องอยู่ต่อไป ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ อีกทั้งนายลีโอ วาราดคาร์ นายกรัฐมนตรีไอร์แลนด์ ก็ได้กล่าวย้ำหลายครั้งว่า ข้อตกลง Brexit ไม่สามารถแก้ไขได้ และนโยบาย backstop จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้
นักวิเคราะห์ระบุว่า หากอังกฤษแยกตัวออกจาก EU โดยไม่มีการทำข้อตกลง จะทำให้เกิดวิกฤตการณ์การขาดแคลนอาหาร และทำให้เกิดภาวะชะงักงันในด่านตรวจตามแนวชายแดนในระยะสั้น และจะกระทบต่อเศรษฐกิจอังกฤษในระยะยาว
อย่างไรก็ดี นายจอห์นสันเชื่อว่าผู้นำ EU มีแนวโน้มที่จะบรรลุข้อตกลงในท้ายที่สุด