In FocusShein ยักษ์ใหญ่ฟาสต์แฟชั่นจีนปรับโมเดลธุรกิจ หนีพิษสงครามการค้า

ข่าวต่างประเทศ Wednesday June 11, 2025 13:56 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

Shein ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซฟาสต์แฟชั่นระดับโลก รับมือกับผลพวงสงครามการค้าจากนโยบายภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างไร หลังจากที่ยอดการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการใช้แอปพลิเคชันของ Shein ในสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงเนื่องด้วยราคาสินค้าบนแพลตฟอร์มดีดตัวขึ้นจากนโยบายภาษีทรัมป์ ข้อมูลล่าสุดจาก Consumer Edge Research ชี้ว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคในสหรัฐฯ บนแอป Shein เดือนพ.ค. 2568 ลดลง 13% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โดยกลุ่มลูกค้าของ Shein ในสหรัฐฯ หันไปช็อปกับห้างสรรพสินค้าและกลุ่มค้าปลีกสินค้าฟาสต์แฟชั่นแทน แล้ว Shein รับมืออย่างไรกับปัญหาที่เกิดขึ้น In Focus จะพาไปหาคำตอบ


เบนเข็มสู่ตลาดยุโรป: ใช่ทางรอดหรือไม่

ข้อมูลจาก Consumer Edge Research ระบุว่า ยอดการใช้จ่ายของผู้บริโภคของ Shein ในสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้น 19% ในเดือนพ.ค. 2568 จากตัวเลขยอดการใช้จ่ายที่สดใสในตลาดยุโรปนี้ ทำให้ Shein เบนเข็มไปยังตลาดใหญ่อย่างยุโรปและสหราชอาณาจักร โดยบริษัทได้เพิ่มงบโฆษณาในยุโรป โดยเฉพาะในสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศส การเข้าไปทำตลาดเป็นอีกหนึ่งในกลยุทธ์ของการรับมือกับผลกระทบจากกำแพงภาษีการค้า

อย่างไรก็ดี การหาทางรอดด้วยการบ่ายหน้าไปยังยุโรปของแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่อาจจะไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีเท่าไรนัก ผู้เชี่ยวชาญมองว่า ยักษ์ใหญ่แห่งวงการฟาสต์แฟชั่นอาจจะต้องเจอกับกฎเกณฑ์ที่ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา มีการยื่นข้อร้องเรียนเรื่อง Shein ในสหภาพยุโรป โดยกล่าวหาว่า ยักษ์ใหญ่ใช้กลยุทธ์ทางธุรกิจที่ไม่เหมาะสม สถานการณ์นี้เกิดขึ้นในขณะที่ยุโรปกำลังเตรียมจัดเก็บค่าธรรมเนียมสองยูโรสำหรับพัสดุขนาดเล็กที่ออนไลน์มาร์เก็ตเพลสอย่าง Shein เคยได้รับการยกเว้นภาษีศุลกากร

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นอาจเป็นสัญญาณอันตรายสำหรับแพลตฟอร์มเหล่านี้ เนื่องจากธุรกิจของแพลตฟอร์มได้รับผลกระทบแล้วจากการยกเลิกข้อยกเว้นภาษีพัสดุขนาดเล็กในสหรัฐฯ เมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา รวมถึงอัตราภาษีใหม่ที่ 54% หรือ 100 ดอลลาร์สำหรับพัสดุที่ส่งผ่านบริการไปรษณีย์

ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ Coresight Research กล่าวกับ CNBC ว่า ค่าธรรมเนียมศุลกากร 2 ยูโรที่สหภาพยุโรปเสนอเป็นอะไรที่ "มากกว่า" ค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้นเล็กน้อย แต่เป็นการเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์ด้านกฎระเบียบที่มุ่งสกัดกั้นการเติบโตอย่างไร้การควบคุมของอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนราคาถูก และอาจปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินงานของแพลตฟอร์มอย่าง Shein หรือ Temu ในยุโรปในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า

"ตลาดยุโรปเป็นตลาดที่มีความท้าทาย ภูมิภาคนี้บังคับใช้กฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นเกี่ยวกับความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ การคุ้มครองผู้บริโภค และการแข่งขันที่เป็นธรรม ซึ่งทั้งหมดนี้กำหนดให้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและฟาสต์แฟชั่นต้องลงทุนมากขึ้นในการปฏิบัติตามกฎระเบียบ รวมทั้งเรื่องความโปร่งใสในการดำเนินงาน" ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยกล่าวเพิ่มเติม


ฟาสต์แฟชั่น: สมการทางธุรกิจที่สวนทางกับความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม

ผู้บริโภคในยุโรปเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจในเรื่องสิ่งแวดล้อมและแสดงความกังวลเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ไม่ได้มีทีท่าว่าจะดีขึ้น แนวคิดและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ใส่ใจความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญมากสำหรับการกระตุ้นการตัดสินใจเลือกใช้แพลตฟอร์ม เนื่องจากอุตสาหกรรมฟาสต์แฟชั่นผลิตสินค้าจำนวนมหาศาลถึง 100-150 พันล้านชิ้นต่อปี และยังเป็นต้นตอของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปทั่วโลกถึง 8.8% ซึ่งสูงกว่าปริมาณการปล่อยก๊าซของธุรกิจการบินระหว่างประเทศและการขนส่งทางทะเลรวมกัน

ตลาดฟาสต์แฟชั่นทั่วโลก ซึ่งมีมูลค่า 150.82 พันล้านดอลลาร์ และเติบโต 10.74% ต่อปี จึงต้องเผชิญกับการตรวจสอบที่เข้มข้นมากขึ้น ในขณะที่ผู้บริโภคปัจจุบันสวมใส่เสื้อผ้าเพียง 7-10 ครั้งก่อนทิ้ง ซึ่งอัตราการใช้เสื้อผ้าดังกล่าวเป็นสถิติที่ลดลง 35% ของการใช้งานในช่วงระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมา

หน่วยงานกำกับดูแลในยุโรปกำลังพยายามออกนโยบายที่จะช่วยแก้และป้องกันปัญหาดังกล่าว ด้วยการริเริ่มโครงการต่าง ๆ เช่น Digital Product Passport (DPP) ซึ่งเป็นมาตรการที่จะกำหนดให้มีการเปิดเผยข้อมูลผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างละเอียด และข้อกำหนดการรายงานความยั่งยืนขององค์กร (CSRD) ซึ่งกำหนดให้มีการรายงานผลการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน รวมถึงข้อบังคับการตรวจสอบสถานะด้านความยั่งยืนขององค์กร (ที่กำหนดให้มีการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนในห่วงโซ่อุปทาน) และกฎระเบียบความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ทั่วไป

การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่สำคัญสำหรับแพลตฟอร์มฟาสต์แฟชั่นราคาถูกที่ดำเนินการด้วยมาร์จิ้นที่ต่ำมาก และเป็นอุปสรรคที่สำคัญสำหรับยักษ์ใหญ่ฟาสต์แฟชั่นที่ต้องพิจารณาถึงความจำเป็นในการแก้ไขโมเดลธุรกิจเพื่อให้ยังคงอยู่รอดได้ในตลาดใหญ่อย่างยุโรป


หวนคืนอินเดีย: ผลิตสินค้าพร้อมขยายซัพพลายเออร์

นอกจากบุกตลาดยุโรปแล้ว Shein ยังได้หารือเรื่องแผนการทำงานร่วมกับกลุ่มธุรกิจค้าปลีกในอินเดียก่อนที่สหรัฐฯ จะใช้มาตรการภาษีกับสินค้านำเข้าของจีนเสียอีก แผนการดังกล่าวคือการกระจายการลงทุน เพื่อที่จะเพิ่มจำนวนซัพพลายเออร์อินเดียจาก 150 รายเป็น 1,000 รายให้ได้ภายในระยะเวลา 1 ปี นอกจากนี้ สำนักข่าวต่างประเทศยังรายงานด้วยว่า Shein วางแผนที่จะขยายฐานซัพพลายเออร์ในอินเดีย และเริ่มขายเสื้อผ้าแบรนด์ Shein ที่ผลิตในอินเดียในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้านี้

ยักษ์ใหญ่ฟาสต์แฟชั่นได้เปิดตัวในอินเดียเมื่อปี 2561 แต่แอปถูกแบนเมื่อปี 2563 เนื่องจากในช่วงนั้นรัฐบาลอินเดียได้ออกมาตรการตอบโต้บริษัทเอกชนที่มีความเกี่ยวพันกับจีน ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนสองประเทศ หลังจากนั้น Shein ได้หวนกลับมายังอินเดียเมื่อเดือนก.พ.ที่ผ่านมาพร้อมด้วยข้อตกลงในการออกใบอนุญาตกับ Reliance Retail ในเครือ Reliance Industries ซึ่งภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว Reliance จะได้สิทธิ์ในการดูแลด้านการผลิต ซัพพลายเชน การขาย และการดำเนินงานแบรนด์ Shein ในตลาดอินเดีย

ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายได้เปิดตัวเว็บไซต์จำหน่ายเสื้อผ้าแบรนด์ Shein ในอินเดีย โดยสินค้าที่วางจำหน่ายบนเว็บผลิตจากโรงงานในอินเดีย ในขณะที่เว็บไซต์อื่น ๆ ของ Shein ยังคงจำหน่ายสินค้าที่ผลิตจากประเทศจีน แต่ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจมีสินค้าที่ผลิตจากอินเดียวางจำหน่ายบนเว็บไซต์ของ Shein ในประเทศอื่น ๆ ก็เป็นได้

Reliance เป็นอาณาจักรธุรกิจของมหาเศรษฐี มูเกช อัมบานี ซึ่งมีสัญญากับผู้ผลิตสิ่งทอถึง 150 ราย และอยู่ในระหว่างการหารือเพิ่มเติมกับผู้ผลิตอีกถึง 400 ราย นอกจากนี้ บริษัทยังพิจารณาความเป็นไปได้ที่จะผลิตสินค้าที่ขายดีไปทั่วโลกของ Shein ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า ตลอดจนตั้งเป้าที่จะทำตามโมเดลการผลิตสินค้าตามความต้องการของ Shein โดยการให้ซัพพลายเออร์ผลิตสินค้าเพียง 100 ชิ้นต่อดีไซน์ ก่อนเพิ่มการผลิตเมื่อสินค้าขายดี

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผู้บริหารของ Reliance ได้เดินทางไปจีน เพื่อศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินการด้านซัพพลายเชน กระบวนการออกแบบ และการทำตลาดของ Shein นอกจากนี้ บริษัทยังวางแผนที่จะทำงานกับซัพพลายเออร์รายใหม่ ๆ เพื่อที่จะใช้ผ้าทอที่ผลิตจากไฟเบอร์ ซึ่งอินเดียยังไม่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องดังกล่าว รวมทั้งพิจารณาที่จะให้การสนับสนุนเพื่อช่วยให้ซัพพลายเออร์เหล่านี้เติบโตไปด้วยกันได้


ท่ามกลางการปรับตัวครั้งใหญ่เพื่อความอยู่รอด คำถามคือฟาสต์แฟชั่นยักษ์ใหญ่จากจีนรายนี้จะสามารถปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจให้เข้ากับตลาดท้องถิ่นได้เพียงใด ในยุคที่สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์มีบทบาทเหนือกลไกตลาดและกลายเป็นตัวกำหนดเกมการค้าโลก


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ