การเดินหมากที่ผิดพลาดของรัฐบาลเนปาลที่ตัดสินใจแบนโซเชียลมีเดีย กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่จุดชนวนให้ความโกรธแค้นต่อการทุจริตคอร์รัปชันที่สั่งสมมานานปะทุขึ้น จนนำไปสู่การลุกฮือประท้วงขับไล่รัฐบาลครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายสิบปี ก่อนที่จะลุกลามบานปลายกลายเป็นเหตุจลาจลนองเลือด มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 22 ราย และบาดเจ็บอีกนับร้อย
วันนี้ In Focus ขอพาไปย้อนดูที่มาที่ไปของเหตุการณ์จลาจลรุนแรงนี้ เพื่อตอบคำถามที่หลายคนอาจสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้นที่เนปาล
ย้อนกลับไปเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 4 ก.ย. 2568 รัฐบาลเนปาลเริ่มแบนโซเชียลมีเดีย 26 แพลตฟอร์ม ซึ่งรวมถึง เฟซบุ๊ก (Facebook), เอ็กซ์ (X), อินสตาแกรม (Instagram), ยูทูบ (Youtube), ลิงด์อิน (LinkedIn), เรดดิต (Reddit), วอตส์แอป (WhatsApp) และสแนปแชต (Snapchat) จากการที่บริษัทเหล่านี้ไม่ได้ลงทะเบียนกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของเนปาล ภายในเส้นตาย 7 วันที่กำหนดไว้
เจ้าหน้าที่ให้เหตุผลว่า การบล็อกโซเชียลมีเดียมีผลบังคับใช้กับแพลตฟอร์มที่ไม่ได้จดทะเบียนกับรัฐบาล และมีเป้าหมายเพื่อปราบปรามบัญชีปลอม ข้อมูลบิดเบือน และคำพูดแสดงความเกลียดชัง อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจดังกล่าวของรัฐบาลสร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มผู้เห็นต่าง ซึ่งมองว่าเป็นการคุกคามต่อเสรีภาพในการแสดงออก ทั้งยังเปิดโอกาสให้รัฐปิดกั้นและลบเนื้อหาที่ถูกมองว่าไม่เหมาะสม หรือเป็นการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล นอกจากนี้ การที่รัฐสภาเนปาลกำลังพิจารณากฎหมายโซเชียลมีเดีย ว่าด้วยการลงโทษปรับและจำคุกผู้สร้างคอนเทนต์ที่ถูกมองว่าเป็นภัยต่อผลประโยชน์ของชาติ ยิ่งสร้างความไม่พอใจแก่ประชาชนมากขึ้นไปอีก
การตัดสินใจดังกล่าวของรัฐบาลกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ความโกรธแค้นต่อการทุจริตที่สั่งสมมานานปะทุขึ้น จนนำไปสู่การประท้วงครั้งใหญ่ที่ถูกเรียกว่า "การประท้วงของ Gen Z" หรือผู้ที่เกิดระหว่างปี 2538-2552
เมื่อวันจันทร์ที่ 8 ก.ย. นักเรียนนักศึกษาในเครื่องแบบพร้อมใจกันถือหนังสือเรียนลุกฮือขึ้นประท้วง โดยใช้ "ธงของกลุ่มโจรสลัดหมวกฟาง" จากการ์ตูนชื่อดังของญี่ปุ่นเรื่อง One Piece เพื่อสื่อถึงอิสรภาพตามความหมายของตัวเอกของเรื่อง และเป็นสัญลักษณ์ของการประท้วงที่เข้าใจร่วมกันของคน Gen Z
นอกจากนี้ การประท้วงดังกล่าวยังได้จุดกระแสต่อต้าน "nepo baby" และ "nepo Kid" อันหมายถึงลูกหลานชนชั้นนำ หลังมีวิดีโอมากมายบนติ๊กต๊อก (Tiktok) ที่แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตอันหรูหราของเหล่านักการเมืองและครอบครัว ซึ่งบรรดาผู้ประท้วงมองว่าเป็นชีวิตที่ได้มาโดยไม่ชอบธรรมจากภาษีของประชาชนชาวเนปาล สะท้อนให้เห็นถึงความไม่พอใจในความเหลื่อมล้ำที่ฝังลึกในสังคมการเมืองของเนปาล
ต่อมา สถานการณ์ได้ลุกลามบานปลายจนเกินที่จะควบคุม เมื่อผู้ประท้วงพยายามบุกเข้าไปในอาคารรัฐสภา ทำให้ตำรวจตัดสินใจใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยางเพื่อสลายการชุมนุม จนมีผู้เสียชีวิต 22 ราย และบาดเจ็บอีกกว่า 100 ราย ตามรายงานล่าสุด
รายงานยังเผยอีกว่า ผู้ชุมนุมได้เผาสถานที่สำคัญต่าง ๆ รวมถึงอาคารรัฐสภา สำนักนายกรัฐมนตรี บ้านพักของนายกรัฐมนตรี เค พี ศรรมะ โอลี และรัฐมนตรีคนอื่น ๆ อีกหลายคน รวมถึงการไล่ทำร้ายร่างกาย พิษนุ ปราสาด เพาเดล รัฐมนตรีคลังวัย 65 ปี จนได้รับบาดเจ็บ ทั้งยังทุบตีราชยาลักษมี จิตราการ ภริยาของอดีตนายกรัฐมนตรีจาลานาถ คานาล อย่างทารุณ ก่อนจุดไฟเผาบ้าน จนส่งผลให้เธอเสียชีวิตในเวลาต่อมา
ขณะเดียวกัน การประท้วงยังได้แผ่ขยายออกไปนอกเมืองหลวง และมีรายงานว่า ประชาชนจากเมืองต่าง ๆ บริเวณชายแดนที่ติดกับอินเดียหลายร้อยคนเดินเท้ามุ่งหน้าสู่กรุงกาฐมาณฑุเพื่อสมทบกับผู้ชุมนุมมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ห่างไกลจากความสงบมากขึ้นไปอีก
นอกจากนี้ ผลกระทบจากเหตุการณ์ประท้วงยังทำให้สนามบินนานาชาติในกรุงกาฐมาณฑุต้องปิดให้บริการสำหรับเที่ยวบินที่มาจากทางใต้ชั่วคราว เนื่องจากทัศนวิสัยย่ำแย่จากกลุ่มควันที่เกิดจากการเผาไหม้ในพื้นที่ใกล้เคียง
การประท้วงที่เกิดขึ้นทำให้รัฐบาลตัดสินใจประกาศยกเลิกการแบนโซเชียลมีเดีย โดยปริตวี ซุบบา กูรุง โฆษกรัฐบาลและรัฐมนตรีกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ยืนยันในวันอังคารที่ 9 ก.ย. ว่า แพลตฟอร์มต่าง ๆ สามารถใช้งานได้ตามปกติแล้ว
ขณะเดียวกัน สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้นายกรัฐมนตรี เค พี ศรรมะ โอลี ตัดสินใจยื่นใบลาออกจากตำแหน่งในวันอังคาร โดยก่อนหน้านั้น เขาได้พยายามคลี่คลายสถานการณ์ด้วยการเรียกประชุมพรรคการเมืองทุกพรรค และย้ำว่า "ความรุนแรงไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติ และเราต้องหันมาใช้การเจรจาอย่างสันติเพื่อหาทางออก" พร้อมแสดงความเสียใจต่อเหตุความรุนแรงซึ่งมีสาเหตุมาจากการแทรกซึมของกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ และประกาศว่า รัฐบาลจะมอบเงินช่วยเหลือแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต และให้การรักษาฟรีแก่ผู้บาดเจ็บ
ถึงอย่างนั้น การลาออกก็ดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์เย็นลงแต่อย่างใด กลุ่มผู้ประท้วงยังคงปิดถนน และเดินหน้าทำลายอาคารรัฐบาลต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องในวันเดียวกัน ขณะที่เฮลิคอร์ปเตอร์ของกองทัพ พาตัวบรรดารัฐมนตรีไปยังสถานที่ปลอดภัย
ด้านกองทัพเนปาลได้ออกมาเคลื่อนไหวหลังการลาออกของนายกรัฐมนตรี โดยเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหาทางออกอย่างสันติด้วยการเจรจา พร้อมทั้งขอให้ "ประชาชนทุกคนใช้ความยับยั้งชั่งใจเพื่อป้องกันความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินที่อาจเกิดขึ้นในสถานการณ์วิกฤตนี้"
นอกจากนี้ กองทัพเนปาลยังได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า กองทัพจะเคลื่อนกำลังพลเข้าควบคุมดูแลความมั่นคงของประเทศตั้งแต่เวลา 22.00 น. ของวันอังคาร พร้อมระบุว่ามีคนบางกลุ่มกำลัง "หาประโยชน์โดยมิชอบจากสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้" พร้อมทั้งเสริมว่า จะมีการส่งกำลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งหมดออกไป หากความรุนแรงยังคงดำเนินต่อไป
เนื่องจากการลาออกของนายกรัฐมนตรีทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง ผู้เชี่ยวชาญหลายคนจึงเห็นตรงกันว่า เนปาลอาจต้องเผชิญกับความวุ่นวายทางการเมืองที่ยืดเยื้อ เว้นแต่จะมีการจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลหรือรัฐบาลแห่งชาติขึ้น
พิปิน อธิการี อาจารย์ด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญจากมหาวิทยาลัยกาฐมาณฑุ กล่าวว่า ไม่มีบทบัญญัติทางรัฐธรรมนูญที่ชัดเจนสำหรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทางเลือกหนึ่งที่เป็นไปได้คือ ประธานาธิบดีเรียกประชุมเพื่อจัดตั้งรัฐบาลที่เกิดจากฉันทามติของคนในชาติ โดยนายกรัฐมนตรีควรได้มาจากการเลือกของรัฐสภา ขณะเดียวกันก็ต้องแน่ใจว่า ข้อเรียกร้องของคนรุ่นใหม่ถูกรับฟังด้วยการให้พวกเขาเป็นตัวแทนเข้าร่วมในการเจรจาด้วย
ด้าน วินัย มิชรา ซึ่งเป็นอาจารย์ด้านนโยบายสาธารณะที่มหาวิทยาลัยกาฐมาณฑุ แสดงความเห็นในทำนองเดียวกันว่า เมื่อนายกรัฐมนตรีลาออก ประธานาธิบดีจะเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อจัดตั้งรัฐบาล แต่เนื่องจากปัจจุบันไม่มีพรรคใดได้เสียงข้างมากอย่างชัดเจน จึงมีแนวโน้มที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาล นอกจากนี้ เขามองว่า องค์กรต่าง ๆ ของกลุ่มคนรุ่นใหม่อาจมีส่วนร่วมในการหารือถึงผู้ที่จะมาเป็นผู้นำในช่วงระยะสั้นนี้ด้วย
ขณะที่ ซี.ดี. ภัททา นักรัฐศาสตร์ กล่าวว่า ความน่าเชื่อถือของทุกพรรคการเมืองหลักในประเทศ "ได้หมดไปแล้ว" ณ จุดนี้ ทุกกลุ่มการเมืองต่างพยายามหาประโยชน์จากสถานการณ์เพื่อเป็นผู้นำรัฐบาล พร้อมเสนอว่า ทางออกที่เป็นไปได้ที่สุดคือการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพเนปาล
"สถานการณ์นี้ต้องได้รับการแก้ไขโดยประธานาธิบดี ด้วยความช่วยเหลือจากกองทัพเนปาล" ภัททากล่าวอธิการีก็เห็นด้วยกับมุมมองนี้ โดยกล่าวว่า "รัฐบาลนี้ควรได้รับการสนับสนุนจากกองทัพเนปาล ซึ่งปัจจุบันเป็นเพียงกองกำลังเดียวที่สามารถรักษาความสงบเรียบร้อยได้"
เหตุการณ์ความไม่สงบครั้งนี้นับว่ารุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ โดยเนปาล ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างสองชาติมหาอำนาจอย่างจีนกับอินเดีย เผชิญกับปัญหาความไร้เสถียรภาพทางการเมืองและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่การล้มล้างระบอบกษัตริย์ในปี 2551 สิ่งที่เนปาลต้องเผชิญต่อจากนี้คือบททดสอบครั้งใหญ่ว่าจะสามารถก้าวผ่านความขัดแย้งและจัดตั้งรัฐบาลที่มั่นคงได้หรือไม่ พร้อมทั้งฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชนที่ถดถอยมาอย่างยาวนาน เราจึงยังคงต้องจับตาดูกันต่อไปว่าฉากสุดท้ายของการประท้วงครั้งประวัติศาสตร์นี้จะนำพาเนปาลไปสู่ทิศทางใด