In Focusเหลียวหลังดูเศรษฐกิจโลกปี 68 ภาษีทรัมป์ทำโลกป่วน - AI จุดชนวนการแข่งขัน

ข่าวต่างประเทศ Wednesday December 17, 2025 17:10 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นาวาเศรษฐกิจโลกลอยลำเข้าสู่เดือนสุดท้ายของปี 2568 ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านทั้งมรสุมรุมเร้าและภูเขาน้ำแข็งที่ซ่อนอยู่เบื้องล่าง เมื่อมองย้อนไทม์ไลน์ตั้งแต่ต้นปีจนถึงตอนนี้ เราต่างก็พบว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน จะข้ามผ่านอุปสรรคขวากหนามมาได้จนถึงเดือนสุดท้ายของปี นักวิเคราะห์และนักวิชาการต่างก็ส่งสัญญาณเตือนภัยคุกคามทางเศรษฐกิจตั้งแต่ต้นปี นับตั้งแต่โดนัลด์ ทรัมป์ กลับเข้ามาคุมบังเหียนทำเนียบขาววาระที่ 2 และสร้างปรากฎการณ์สะท้านโลกด้วยการทำในสิ่งที่ประธานาธิบดีอเมริกันน้อยคนนักที่จะทำ นั่นคือ การประกาศรีดภาษีนำเข้าสินค้าจากเกือบทุกประเทศ ซึ่งนำไปสู่การทำสงครามการค้าที่ห้ำหั่นกันระหว่างชาติมหาอำนาจ และสั่นคลอนเสถียรภาพเศรษฐกิจโลกซึ่งเดิมก็อ่อนแออยู่แล้ว

นอกจากวิกฤตภาษีทรัมป์แล้ว โลกยังเผชิญกับความไม่แน่นอนจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ยืดเยื้อมานานเกือบ 4 ปี ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสในปาเลสไตน์ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากการช่วงชิงวิหารศักดิ์สิทธิ์ จนบานปลายกลายเป็นสงครามที่ขยายวงกว้าง และส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ตั้งแต่ธัญพืชไปจนถึงน้ำมัน ขณะที่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั่วโลกก็มาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เมื่อกระแสความเฟื่องฟูของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทำให้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่แข่งขันกันผลิตและส่งออกชิป AI ที่ทันสมัย จนทำให้ AI มีความก้าวล้ำ แต่ก็สร้างความกังวลว่าอาจจะแย่งงานมนุษย์ในวันข้างหน้า

In Focus สัปดาห์นี้ เราขอพาผู้อ่านย้อนรอยสถานการณ์เศรษฐกิจและเหตุการณ์สำคัญทั่วโลกนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน

*ครึ่งปีแรก

- นโยบายทรัมป์ทำโลกป่วน

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ซึ่งเป็นมาตรวัดสุขภาพของตลาดหุ้นโลก เปิดฉากการซื้อขายวันแรกของปี 2568 ในวันที่ 2 มกราคม ปรับตัวลดลง 151.95 จุด หรือ -0.36% ปิดที่ระดับ 42,392.27 จุด โดยภาวะการซื้อขายในวันแรกของปีเป็นไปอย่างผันผวน และตลาดยังคงแกว่งตัวนับตั้งแต่นั้น เนื่องจากนักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายและรอดูนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อประเมินทิศทางการลงทุน

กระทั่งในวันที่ 20 มกราคม ความชัดเจนเริ่มปรากฎขึ้นเมื่อทรัมป์เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐฯ และเปิดฉากสุนทรพจน์ด้วยคำว่า "ยุคทองของอเมริกาได้เริ่มขึ้นแล้ว" จากนั้นก็ประกาศนโยบาย "ทรัมป์ 2.0" ที่ส่วนใหญ่จะสวนทางกับนโยบายของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน

นโยบายของทรัมป์รวมถึงการประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานแห่งชาติเพื่อลดราคาพลังงานในสหรัฐฯ ด้วยการเพิ่มการขุดเจาะน้ำมัน วางท่อน้ำมัน และตั้งโรงกลั่นน้ำมัน, ประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติทางชายแดนด้านใต้สหรัฐฯ และส่งกำลังทหารเข้าปกป้องชายแดนเพื่อสกัดการลักลอบเข้าเมืองจากเม็กซิโก, นำสหรัฐฯ ถอนตัวจากความตกลงปารีส ซึ่งเป็นความตกลงตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, ยกเลิกนโยบายส่งเสริมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า และที่สร้างความตื่นตระหนกให้กับตลาดการเงินทั่วโลก คือการประกาศยกเครื่องระบบการค้าสหรัฐฯ ด้วยการเรียกเก็บภาษีศุลกากรจากต่างประเทศเพื่อสร้างความร่ำรวยต่อชาวอเมริกัน ไม่ใช่การเก็บภาษีชาวอเมริกันเพื่อสร้างความร่ำรวยให้แก่ประเทศอื่น

หลังประกาศนโยบายเพียงไม่กี่ชั่วโมง ทรัมป์พุ่งหอกใส่ประเทศคู่ค้าเพื่อนบ้านเป็นอันดับแรก ด้วยการประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดา จากนั้นไม่กี่วันก็เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน และประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก ซึ่งแม้นักวิเคราะห์เตือนว่ามาตรการภาษีศุลกากรจะทำให้สินค้าในสหรัฐฯ แพงขึ้น แต่ทรัมป์แก้ต่างว่ามาตรการนี้จำเป็นเพื่อควบคุมคนเข้าเมือง สกัดการค้ายาเสพติด และหนุนอุตสาหกรรมในประเทศ

การใช้นโยบายการค้าที่แข็งกร้าวของทรัมป์ทำให้นานาประเทศที่ตกเป็นเป้าหมายต่างพากันลั่นกลองรบเปิดฉากสงครามภาษี โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีนซึ่งเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งเหวในช่วงไตรมาส 1 โดยดัชนีดาวโจนส์ปิดฉากไตรมาส 1 ร่วงลง 1.3% ส่วนตลาดหุ้นอื่น ๆ ทั่วโลกปรับตัวลงตามกัน

ด้านกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ออกรายงานเตือนตั้งแต่ต้นปีว่า ความไม่แน่นอนของภาษีทรัมป์จะส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลก โดยหลายประเทศยังขาดศักยภาพที่จะรับมือกับแรงกระแทกทางเศรษฐกิจเพิ่มเติมในปีนี้ หลังจากเผชิญกับผลกระทบจากโรคโควิด-19 และสงครามรัสเซีย-ยูเครน

- ทองคำพุ่งกระฉูด วิตกภาษีทรัมป์ทำนักลงทุนแห่ถือสินทรัพย์ปลอดภัย

ราคาทองคำ COMEX ปิดท้ายไตรมาส 1 พุ่งขึ้น 36 ดอลลาร์ หรือ 1.16% ปิดที่ 3,150.30 ดอลลาร์/ออนซ์ ในวันที่ 31 มีนาคม ถือว่าไปไกลมากจากระดับปิดของวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ซึ่งอยู่ที่ 2,641.0 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการภาษีทรัมป์ได้ทำให้นักลงทุนแห่ถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย ขณะที่ธนาคารรายใหญ่ในวอลล์สตรีทได้ปรับเพิ่มคาดการณ์แนวโน้มราคาทองคำ โดยระบุถึงสถานการณ์ตึงเครียดของสงครามการค้าและการที่ธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ เดินหน้าซื้อทองคำ

- น้ำมันพุ่งแรง หลังทรัมป์คว่ำบาตรรัสเซีย-เปิดศึกถล่มโรงงานนิวเคลียร์อิหร่าน

ความขัดแย้งอันยาวนานระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสในปาเลสไตน์ได้ลุกลามบานปลายกลายเป็นสงครามที่ขยายวงกว้าง และนำไปสู่การดึงพี่ใหญ่แห่งชาติอาหรับอย่างอิหร่านเข้ามาร่วมวงทำสงครามตัวแทน (proxy war) ด้วยการออกทุนสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธอย่างฮูตีและฮิซบอลเลาะห์ จนทำให้ตำรวจโลกอย่างสหรัฐฯ ต้องออกมาสยบความห้าวด้วยการยิงขีปนาวุธถล่มโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน ซึ่งสถานการณ์เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบต่อภาวะอุปทานและทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์พุ่งขึ้นถ้วนหน้า ซึ่งรวมถึงราคาน้ำมัน

นอกจากนี้ การที่ทรัมป์ประกาศคว่ำบาตรน้ำมันของรัสเซีย เพื่อกดดันให้รัสเซียเจรจาสันติภาพและยุติสงครามในยูเครน ยังส่งให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นเกือบตลอดทั้งไตรมาส 1 โดยราคาน้ำมัน WTI ปิดท้ายไตรมาส 1 พุ่งขึ้น 2.12 ดอลลาร์ หรือ 3.06% ปิดที่ 71.48 ดอลลาร์/บาร์เรลในวันที่ 31 มีนาคม ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์

- DeepSeek สร้างแรงกระเพื่อมในวงการเทคโนโลยี

ข่าวใหญ่อีกข่าวหนึ่งในไตรมาส 1 คงไม่พ้นกระแสความเฟื่องฟูของ AI และการมาถึงของสตาร์ตอัปสัญชาติจีนอย่าง DeepSeek โดยแม้ว่า DeepSeek ก่อตั้งขึ้นเพียง 1 ปี แต่ได้เปิดตัวโมเดล AI ที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่าแชตบอตระดับโลกของ OpenAI ด้วยต้นทุนที่น้อยกว่าและสามารถทำงานบนชิปที่มีขีดความสามารถต่ำกว่า

DeepSeek เปิดตัวโมเดล AI แบบ open-source ในเดือนธันวาคม 2567 โดยใช้เวลาในการพัฒนาเพียง 2 เดือน และใช้ต้นทุนต่ำกว่า 6 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ใช้ชิป H800s ซึ่งเป็นชิปประสิทธิภาพต่ำของ Nvidia โดยการเปิดตัวโมเดล AI ของ DeepSeek สร้างความตื่นตระหนกต่อความเป็นผู้นำโลกในธุรกิจ AI ของสหรัฐฯ และเกิดการตั้งคำถามต่อการที่บริษัทยักษ์ใหญ่ในกลุ่มเทคโนโลยีใช้งบประมาณมากมายมหาศาลในการพัฒนาโมเดล AI

นอกจากนี้ DeepSeek กลายเป็นแอปพลิเคชันฟรีที่มีการดาวน์โหลดมากที่สุดในสหรัฐฯ ผ่านทาง App Store ของบริษัท Apple Inc. โดยสามารถโค่นตำแหน่งของแอปพลิเคชัน ChatGPT ของ OpenAI

การมาถึงของ DeepSeek ส่งผลให้เกิดแรงเทขายในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทั่วโลกอย่างรุนแรงในเดือนมกราคม โดยเฉพาะมูลค่าตลาดของกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่ลดฮวบอย่างน่าใจหาย นอกจากนี้ การผงาดขึ้นของ DeepSeek ยังส่งผลให้บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ทั่วโลกพากันเปิดตัวโมเดล AI ใหม่ ๆ เพื่อท้าชน ซึ่งรวมถึง Alphabet และ Microsoft ตลอดจน Alibaba Group ที่เปิดตัว AI แบบ open-source รุ่นใหม่ซึ่งมีประสิทธิภาพทัดเทียมกับโมเดล AI ของ DeepSeek

เมื่อความฮือฮาและความตื่นตระหนกเริ่มเบาบางลง ทรัมป์ได้ออกมาแสดงความเห็นในเรื่องนี้ว่า การเปิดตัวโมเดล AI ของ DeepSeek ถือเป็นเรื่องดี เพราะจะเป็นสัญญาณเตือนให้บริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐฯ มีความตื่นตัว และตบท้ายด้วยการอวยจีนว่า เป็นเรื่องดีที่บริษัทจีนสามารถคิดค้นวิธีสร้าง AI ที่มีราคาถูกกว่าและประมวลผลได้เร็วกว่า

แต่หลังจากได้คำชมจากทรัมป์ไม่นาน ทั่วโลกมอง DeepSeek ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป เมื่อทำเนียบขาวออกแถลงการณ์ว่า สหรัฐฯ มีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบด้านความมั่นคงจากการใช้งาน AI ของ DeepSeek จากนั้นกองทัพเรือสหรัฐฯ ได้ประกาศห้ามใช้ AI ของ DeepSeek "ในทุกกรณี" เนื่องจากมีข้อกังวลด้านความปลอดภัย ขณะที่เจ้าหน้าที่อาวุโสของสหรัฐฯ ระบุว่า DeepSeek ให้ความช่วยเหลือด้านปฏิบัติการทางทหารและข่าวกรองแก่รัฐบาลจีน นอกจากนี้ DeepSeek ยังพยายามใช้บริษัทบังหน้า (shell company) หลายแห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อเข้าถึงเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงที่ไม่สามารถส่งไปยังจีนภายใต้กฎข้อบังคับของสหรัฐฯ

ด้าน OpenAI ออกมาเปิดโปงว่า DeepSeek ได้รับเงินสนับสนุนและอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลจีน และเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ พิจารณาสั่งห้ามใช้โมเดล AI จาก DeepSeek รวมถึงองค์กรอื่น ๆ ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน

- วิบากกรรม Tesla ประชาชนแห่บอยคอตหลังทรัมป์ตั้งอีลอน มัสก์ คุมกระทรวง DOGE

บริษัท Tesla ผู้ผลิตรถไฟฟ้ารายใหญ่ของมหาเศรษฐีอีลอน มัสก์ เผชิญชะตากรรมที่คาดไม่ถึง เมื่อทรัมป์จัดตั้งกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล หรือ Department of Government Efficiency (DOGE) ซึ่งมีนโยบายลดจำนวนพนักงานของรัฐบาลกลาง และตัดงบประมาณขององค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) โดยทรัมป์ได้แต่งตั้งมัสก์เป็นผู้คุมกระทรวงนี้

การจัดตั้ง DOGE และยกให้มัสก์เป็นผู้ควบคุมดูแลได้ก่อให้เกิดกระแสต่อต้านเป็นวงกว้าง ซึ่งรวมถึงการบอยคอตรถ Tesla ส่งผลให้ยอดขายรถยนต์ของบริษัทยักษ์ใหญ่รายนี้ลดฮวบอย่างน่าตกใจ ทั้งที่เคยได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามในปีที่แล้ว นอกจากนี้ ยอดขายของ Tesla ยังได้รับผลกระทบจากการที่บริษัทเผชิญกระแสต่อต้านในยุโรป หลังจากมัสก์มีจุดยืนสนับสนุนพรรคทางเลือกเพื่อเยอรมนี (AfD) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายขวาจัดที่มีแนวคิดต่อต้านผู้อพยพ

ท่ามกลางสถานการณ์ทางธุรกิจที่ย่ำแย่ลงเช่นนี้ มีข่าวลือแพร่สะพัดในช่วงปลายเดือนมีนาคมว่า คณะกรรมการบริหารของ Tesla ได้ติดต่อบริษัทจัดหาผู้บริหารหลายแห่ง เพื่อเริ่มกระบวนการสรรหาซีอีโอคนใหม่มาแทนที่มัสก์ เพื่อนำพาธุรกิจของ Tesla ให้เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น

ต่อมาในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม มัสก์ประกาศลาออกจากคณะบริหารของทรัมป์ และกล่าวขอบคุณทรัมป์ที่ให้โอกาสในการทำงานที่ทำเนียบขาว โดยเขาประกาศว่านับจากนี้จะให้เวลากับ Tesla เพื่อให้บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าที่เขาปั้นมากับมือแห่งนี้ กลับมาผงาดอีกครั้ง

หลังจากมัสก์ลาออกจากคณะบริหารทำเนียบขาว ความสัมพันธุ์ระหว่างทรัมป์และเขาก็เป็นไปในลักษณะ "รัก ๆ เลิก ๆ" โดยทรัมป์ถึงขนาดประชดว่าจะขายรถ Tesla ทิ้ง จนกระทั่งในเดือนกันยายน ทั้งคู่หายงอนและกลับมาคืนดีกันอีกครั้ง ในงานรำลึกการจากไปของชาร์ลี เคิร์ก นักเคลื่อนไหวฝ่ายขวาที่ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 กันยายนที่มหาวิทยาลัยยูทาห์ แวลลีย์

*ครึ่งปีหลัง

- ทรัมป์พาล ปลดผอ.สำนักสถิติแรงงาน ไม่พอใจตัวเลขจ้างงานอ่อนแอ

เหตุการณ์ที่ทำให้ตลาดการเงินทั่วโลกตกตะลึง คือการที่ทรัมป์มีคำสั่งฟ้าผ่าปลด เอริกา แมคเอนทาร์เฟอร์ พ้นเก้าอี้ผู้อำนวยการสำนักสถิติแรงงาน (BLS) หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ

หน่วยงานแห่งนี้ก่อตั้งมายาวนานกว่า 140 ปี และได้รับความไว้วางใจจากบรรดานักเศรษฐศาสตร์ในฐานะองค์กรไม่ฝักใฝ่ทางการเมือง แต่กลับมาถึงจุดที่ถูกรัฐบาลทรัมป์ตราหน้าว่าเป็นหน่วยงานที่ขาดความน่าเชื่อถือ เหตุการณ์ที่เหนือความคาดหมายนี้เกิดขึ้นในวันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม เพียงไม่นานหลังจาก BLS เปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนกรกฎาคม ที่เพิ่มขึ้นเพียง 73,000 ตำแหน่ง ซึ่งต่ำกว่ามากเมื่อเทียบกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 106,000 ตำแหน่ง และที่สร้างแรงกระเพื่อมมากที่สุดก็คือ BLS ได้ปรับลดการประเมินตัวเลขจ้างงานทั้งในเดือนพฤษภาคมและเดือนมิถุนายนรวมกันมากถึง 258,000 ตำแหน่ง

การเปิดเผยความอ่อนแอของตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ถือเป็นดัชนีชี้วัดสุขภาพเศรษฐกิจได้สร้างความไม่พอใจให้กับทรัมป์ซึ่งคาดหวังไว้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจในทุกภาคส่วนจะต้องออกมาดีในยุคที่เขาบริหารประเทศ ความไม่พอใจครั้งนี้รุนแรงถึงขนาดทำให้ทรัมป์มีคำสั่งปลดแมคเอนทาร์เฟอร์ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งในยุคของประธานาธิบดีโจ ไบเดน โดยทรัมป์ตั้งข้อกล่าวหาที่รุนแรงว่า เธอบิดเบือนตัวเลขการจ้างงาน และยังกล่าวหารุนแรงถึงขั้นที่ว่าผู้อำนวยการ BLS กระทำการดังกล่าวเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อพรรคเดโมแครต และลดทอนความสำเร็จของพรรครีพับลิกัน แม้ว่าทรัมป์ไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยันคำกล่าวหาดังกล่าวได้ก็ตาม

ข่าวเด้งผู้อำนวยการ BLS จุดชนวนการต่อต้านในหมู่ผู้เชี่ยวชาญ โดยบรรดานักเศรษฐศาสตร์ใช้คำประณามทรัมป์ที่รุนแรงมาก ไม่ว่าจะเป็น "เผด็จการ" "เป็นอันตราย" และแม้กระทั่งคำว่า "สาธารณรัฐกล้วย" (banana republic) ซึ่งหมายถึงประเทศที่ไร้เสถียรภาพทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง

- ทำเนียบขาวเร่งสรรหาผู้สืบทอดตำแหน่งประธานเฟดต่อจากพาวเวล

ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เผชิญกับการแทรกแซงจากทรัมป์ตั้งแต่ครึ่งปีแรกจนถึงครึ่งปีหลัง โดยเขาได้สั่งปลด ลิซา คุก ออกจากตำแหน่งสมาชิกคณะกรรมการผู้ว่าการเฟด หลังถูกกล่าวหาทำการฉ้อโกงด้วยการให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการกู้เงินเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย แต่ผู้พิพากษาศาลแขวงในวอชิงตันมีคำตัดสินให้ระงับคำสั่งดังกล่าวของทรัมป์ โดยวินิจฉัยว่าการประพฤติมิชอบเกี่ยวกับการจำนองตามที่ถูกกล่าวหานั้น ไม่น่าจะเป็นเหตุอันควรในการปลดเธอออกจากตำแหน่งได้ภายใต้กฎหมาย Federal Reserve Act และวิธีที่เธอถูกปลดออกจากตำแหน่งนั้นน่าจะเป็นการละเมิดสิทธิของเธอในกระบวนการยุติธรรมอันชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังขู่ที่จะปลดเจอโรม พาวเวล พ้นตำแหน่งประธานเฟด หลังจากพาวเวลไม่ยอมก้มหัวให้กับแรงกดดันในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยขนานใหญ่ ซึ่งคำขู่เหล่านี้ได้สร้างความโกลาหลให้กับตลาดการเงินทั่วโลก

รายงานล่าสุดระบุว่า เจ้าหน้าที่บางส่วนในรัฐบาลทรัมป์แสดงความไม่แน่ใจเกี่ยวกับความเหมาะสมในการเลือก เควิน แฮสเซตต์ ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเฟดคนต่อไป โดยมองว่าเขาอาจไม่เหมาะสมที่จะรับช่วงต่อจากพาวเวล นอกจากนี้ เขายังไม่สามารถแสดงบทบาทได้อย่างมีประสิทธิภาพมากนัก นอกเหนือจากการทำหน้าที่สื่อสารและถ่ายทอดวาระนโยบายของทรัมป์ต่อสาธารณชน

ทรัมป์ให้สัมภาษณ์กับวอลล์สตรีทเจอร์นัลเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า เขาได้จำกัดรายชื่อผู้ที่จะได้รับการพิจารณาเป็นประธานเฟดคนใหม่ เหลือเพียง 2 คนเท่านั้น คือ เควิน แฮสเซตต์ และ เควิน วอร์ช อดีตผู้ว่าการเฟด โดยมีการคาดการณ์ว่าทรัมป์จะประกาศการตัดสินใจเลือกประธานเฟดคนใหม่ในช่วงต้นปีหน้า

ผู้ที่จะเข้ามารับตำแหน่งประธานเฟดคนใหม่มีผลต่อทิศทางเศรษฐกิจและตลาดการเงินอย่างมาก โดยก่อนหน้านี้นักลงทุนคาดหวังว่าอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะอยู่ในช่วงขาลง หากแฮสเซตต์ ซึ่งมีจุดยืนสนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเชิงรุก ได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานเฟดต่อจากพาวเวล

ทั้งนี้ เฟดมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 3.50-3.75% ในการประชุมเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ซึ่งเป็นการลดดอกเบี้ยติดต่อกันครั้งที่ 3 พร้อมกับส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% จำนวน 1 ครั้งในปี 2569 และปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% จำนวน 1 ครั้งในปี 2570

- BOJ ถึงทางแยกสำคัญ หลังญี่ปุ่นได้นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก

วันที่ 21 ตุลาคม ซานาเอะ ทาคาอิจิ นักการเมืองอนุรักษนิยมขวาจัด วัย 64 ปี ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับการเมืองญี่ปุ่น เมื่อเธอได้รับการลงมติจากรัฐสภาให้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศ ทาคาอิจิถือเป็นศิษย์เอกและผู้สืบทอดอุดมการณ์ของอดีตนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ผู้ล่วงลับ ไม่เพียงอุดมการณ์อนุรักษนิยมทางการเมืองเท่านั้น ในด้านนโยบายเศรษฐกิจ ทาคาอิจิยังได้รับเอาวิสัยทัศน์ทางเศรษฐกิจของอาเบะ หรือที่เรียกว่า "อาเบะโนมิกส์" (Abenomics) มาสานต่อด้วยเช่นกัน โดยเรียกแนวทางของเธอว่า "นโยบายเศรษฐกิจแรงดันสูง" (High-Pressure Economy) มุ่งเน้นการใช้จ่ายทางการคลังและการผ่อนคลายทางการเงิน (Dovish) เพื่อกระตุ้นอุปสงค์ในระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

ปฏิกิริยาเบื้องต้นของตลาดต่อการได้รับเลือกของเธอเป็นไปในทิศทางบวก โดยเงินเยนอ่อนค่าลง และดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากความหวังเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่

แต่สำหรับธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) แล้ว การนั่งบังเหียนรัฐบาลของทาคาอิจิอาจทำให้คณะกรรมการ BOJ เผชิญกับแรงกดดัน เนื่องจากในช่วงครึ่งปีหลังนี้ BOJ ส่งสัญญาณมาโดยตลอดว่าจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ชัยชนะของทาคาอิจิทำให้ตลาดการเงินคาดการณ์ว่า BOJ จะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะใกล้นี้ เมื่อดูจากท่าทีของทาคาอิจิซึ่งมีจุดยืนสนับสนุนการผ่อนคลายนโยบายการเงินแบบเชิงรุก

อย่างไรก็ดี ล่าสุดในเดือนพฤศจิกายน ทาคาอิจิได้จัดการประชุมร่วมกับคาซูโอะ อุเอดะ ผู้ว่าการ BOJ ซึ่งถือเป็นการพบกันแบบบตัวต่อตัวครั้งแรกนับตั้งแต่เธอเข้ารับตำแหน่งนายกฯ โดยการพบกันครั้งนี้ถูกจับตาจากสื่อมวลชนและนักลงทุนอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ หลังเสร็จสิ้นการประชุมร่วมกัน ผู้ว่าการ BOJ เปิดเผยกับสื่อแค่เพียงว่า มีการพูดคุยที่ "ตรงไปตรงมาและสร้างสรรค์" แต่ปฏิเสธที่จะลงลึกในรายละเอียด

- Pop Mart กระแสแผ่ว หุ้นร่วงหนักครึ่งปีหลัง

Pop Mart International Group บริษัทอาร์ตทอยยักษ์ใหญ่สัญชาติจีนซึ่งโด่งดังไปทั่วโลกจากตุ๊กตาลาบูบู้ที่จัดจำหน่ายในรูปแบบกล่องสุ่ม เผชิญกับความท้าทายในช่วงครึ่งปีหลัง เมื่อราคาหุ้นดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง

ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 Pop Mart กวาดรายได้พุ่งขึ้น 204.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว มาอยู่ที่ 1.388 หมื่นล้านหยวน (ประมาณ 6.3 หมื่นล้านบาท) และกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นพุ่งขึ้นถึง 396.5% มาอยู่ที่ 4.57 พันล้านหยวน ซึ่งสูงกว่าที่บริษัทคาดการณ์ไว้ว่า รายได้ช่วงหกเดือนแรกจะโตอย่างน้อย 200% และกำไรจะพุ่งขึ้น 350%

อย่างไรก็ตาม กระแส Pop Mart เริ่มแผ่วลง เมื่อสื่อของรัฐบาลจีนได้ออกมาเรียกร้องให้มีการควบคุมของเล่นกล่องสุ่มและการ์ดสะสมที่ขายให้กับเด็กอายุต่ำกว่า 8 ปีอย่างเข้มงวดมากขึ้น โดยแนะนำมาตรการต่าง ๆ เช่น การยืนยันอายุเมื่อชำระเงิน และการขอความยินยอมจากผู้ปกครองสำหรับการซื้อของออนไลน์ แม้จะไม่ได้ระบุชื่อ Pop Mart โดยตรง แต่สื่อของรัฐวิพากษ์วิจารณ์ธุรกิจที่กระตุ้นให้เด็กใช้จ่ายเกินตัวไปกับบรรดากล่องสุ่มเหล่านี้

นักวิเคราะห์หุ้นกล่าวว่า ความนิยมของ IP (ทรัพย์สินทางปัญญา) หลัก ๆ ของ Pop Mart อาจไม่ยั่งยืน แม้ยอดขายลาบูบู้และ IP อื่น ๆ จะยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าผู้บริโภคจะยังคงชื่นชอบสิ่งเหล่านี้ต่อไปในอีก 5-10 ปีข้างหน้า เนื่องจากรสนิยมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก

หุ้น Pop Mart ร่วงลงอย่างหนักในช่วงครึ่งปีหลัง และแม้ราคาหุ้นจะกระเตื้องขึ้นเมื่อครั้งที่ทิม คุก ซีอีโอของบริษัท Apple Inc. แวะไปเยี่ยมชมนิมทรรศการครบรอบ 10 ปี "ลาบูบู้" ที่นครเซี่ยงไฮ้เมื่อกลางเดือนตุลาคม แต่หลังจากนั้นราคาหุ้น Pop Mart ก็อยู่ในช่วงขาลงมาโดยตลอด สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนมีความกังวลต่อแนวโน้มผลประกอบการของบริษัท

กระทั่งเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายนที่ผ่านมา หุ้น Pop Mart ดิ่งลงกว่า 5% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงรุนแรงที่สุดในรอบ 2 สัปดาห์ หลังจาก The Cover ซึ่งเป็นสื่อท้องถิ่นของจีนรายงานว่า พนักงานของ Pop Mart ถูกจับภาพได้ขณะถือกล่องสุ่มของ Pop Mart พร้อมกับพูดว่าสินค้านั้น มีราคาสูงเกินไป ในระหว่างการไลฟ์สด

- ส่องแนวโน้มปี 2569...IMF คาดเศรษฐกิจโลกปีหน้าโตเพียง 3.1%

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เปิดเผยรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (World Economic Outlook) ครั้งล่าสุด โดยคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 3.2% ในปี 2568 เพิ่มขึ้นจากตัวเลขคาดการณ์ในเดือนก.ค.ที่ระดับ 3.0% หลังจากมีการขยายตัว 3.3% ในปี 2567

นอกจากนี้ IMF คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 3.1% ในปี 2569 ไม่เปลี่ยนแปลงจากตัวเลขคาดการณ์ในเดือนกรกฎาคม

ขณะเดียวกัน IMF คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะขยายตัว 2.0% ในปีนี้ จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 1.9% และคาดว่าเศรษฐกิจจีนจะมีการขยายตัว 4.8% ขณะที่คาดว่าเศรษฐกิจยูโรโซนจะขยายตัว 1.2% จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 1.0%

สำหรับเอเชียนั้น IMF คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจเอเชียจะขยายตัว 4.5% ในปี 2568 ซึ่งแม้ว่าชะลอตัวลงจาก 4.6% ในปีที่แล้ว แต่ก็เพิ่มขึ้น 0.6% จากที่คาดการณ์ไว้ในเดือนเมษายน เนื่องจากยอดส่งออกที่แข็งแกร่ง ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับแรงหนุนจากการเร่งส่งสินค้าก่อนที่มาตรการปรับขั้นภาษีของสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้

อย่างไรก็ตาม IMF คาดการณ์ว่า การเติบโตของเศรษฐกิจเอเชียในปี 2569 จะชะลอลงแตะระดับ 4.1% เนื่องจากผลกระทบจากความตึงเครียดทางการค้า อุปสงค์ที่อ่อนแอในจีน และการบริโภคภาคเอกชนที่ซบเซาในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่

ทั้งนี้ IMF เรียกร้องให้ประเทศในเอเชียลดการใช้มาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (non-tariff barriers) และดำเนินนโยบายการค้าแบบบูรณาการ เพื่อลดความเปราะบางที่มีต่อมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ และผลกระทบจากวิกฤตการเงินทั่วโลก โดย IMF ระบุว่า การค้าเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจของเอเชีย โดยมีจีนเป็นศูนย์กลางของห่วงโซ่อุปทานการผลิตสินค้าทั่วโลก ซึ่งทำให้ภูมิภาคนี้มีความเปราะบางต่อผลกระทบจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ตลอดจนมาตรการภาษีของทรัมป์


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ