In Focusนับถอยหลัง ผลเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐ วัดผลงาน"ทรัมป์"ผ่านมาสองปี-ชี้อนาคตสองปีที่เหลือ

ข่าวต่างประเทศ Wednesday November 7, 2018 08:22 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

และแล้วก็มาถึงวันเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐ ซึ่งถูกมองว่าเป็นประชามติชี้วัดผลงานของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกันก็เป็นการชี้อนาคตอีกสองปีที่เหลือว่า ทรัมป์จะเดินหน้าอย่างราบรื่นบนเส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ หรือต้องเหยียบย่ำไปบนหนทางที่เต็มไปด้วยขวากหนาม

ก่อนที่จะทราบผลการนับคะแนนเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ คอลัมน์ In Focus สัปดาห์นี้ ขอนำเสนอเรื่องราวน่ารู้ น่าสนใจเกี่ยวกับการเลือกตั้ง "มิดเทอม 2018" ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นการเลือกตั้งกลางเทอมที่ได้รับการจับตามากที่สุดครั้งหนึ่ง ไม่เพียงเฉพาะชาวอเมริกัน แต่ยังรวมถึงคนทั่วโลกอีกด้วย

เลือกใคร มีผลอย่างไร

การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้ง 435 ที่นั่ง และสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 35 ที่นั่งจากทั้งหมด 100 ที่นั่ง สำหรับการเลือกตั้งส.ว. จำนวน 35 ที่นั่งนั้น 24 ที่นั่งในจำนวนนี้ ปัจจุบันเป็นของเดโมแครต ขณะที่อีก 9 ที่นั่งเป็นของพรรครีพับลิกัน ส่วน 2 ที่นั่งที่เหลือเป็นของนักการเมืองอิสระ นั่นหมายความว่า เดโมแครตเสียเปรียบในการเลือกตั้งส.ว.กลางเทอมครั้งนี้ เนื่องจากทางพรรคต้องรักษาเก้าอี้จำนวนมากกว่ามากเมื่อเทียบกับทางฝั่งของพรรครีพับลิกัน

ในส่วนของการเลือกตั้งส.ส. จะเป็นการเลือกทั้งหมด 435 ที่นั่งในสภาผู้แทนฯ โดยปัจจุบัน พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากที่ 235 ที่นั่ง ขณะที่เดโมแครตครอง 193 ที่นั่ง ส่วนอีก 7 ที่นั่งว่างอยู่ เนื่องจากผู้ดำรงตำแหน่งลาออก หรือด้วยเหตุผลอื่นๆ

ทั้งนี้ สภาคองเกรสคือฝ่ายนิติบัญญัติของสหรัฐ ทั้งวุฒิสภาและสภาผู้แทนฯ ต่างมีอำนาจในการร่างกฎหมายและผ่านกฎหมาย นอกจากนี้ วุฒิสภายังมีอำนาจในการอนุมัติการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่รัฐบาลระดับอาวุโสบางตำแหน่งตามการเสนอชื่อของประธานาธิบดี ขณะที่สภาผู้แทนฯ มีอำนาจในการเริ่มกระบวนการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่ง หรือ Impeachment

หากพรรครีพับลิกันสามารถรักษาคะแนนเสียงส่วนใหญ่ในทั้งสองสภาได้ ก็จะเป็นการปูพรมให้คณะทำงานชุดปัจจุบันภายใต้การนำของปธน.ทรัมป์สามารถสานต่อนโยบายที่ดำเนินการค้างอยู่ต่อไปได้ แต่หากพรรคเดโมแครตคว้าชัยในสภาใดสภาหนึ่ง ก็จะเป็นการบั่นทอนอำนาจของรัฐบาลทรัมป์ในการดำเนินนโยบายให้สำเร็จลุล่วงตามที่วางแผนไว้ในอีกสองปีข้างหน้า

ขณะเดียวกัน นอกจากเลือกตั้งสมาชิกสภาคองเกรสแล้ว การเลือกตั้งกลางเทอมปีนี้ยังรวมถึงการเลือกผู้ว่าการรัฐ 36 รัฐ จากทั้งหมด 50 รัฐ และผู้ว่าการดินแดนในปกครองของสหรัฐอีกสามแห่ง รวมเป็น 39 คน ตลอดจนนายกเทศมนตรีเมืองสำคัญๆ ของสหรัฐ อาทิ วอชิงตัน ดี.ซี. ซานฟรานซิสโก และฟินิกซ์ เป็นต้น

ประวัติศาสตร์อยู่ข้างเดโมแครต

นับตั้งแต่สงครามกลางเมืองสหรัฐ ผลการเลือกตั้งไม่ค่อยเป็นใจให้กับพรรคของประธานาธิบดีเท่าไรนัก โดยมีการเลือกตั้งกลางเทอมเพียงสามครั้งเท่านั้นที่พรรคของประธานาธิบดีไม่เสียที่นั่งในสภาผู้แทนฯ และจากสถิติบ่งชี้ว่า พรรคของประธานาธิบดีสูญเสียที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรเฉลี่ย 32 ที่นั่ง และเสียที่นั่งในวุฒิสภาสองที่นั่งในการเลือกตั้งกลางเทอมนับตั้งแต่ยุคสงครามกลางเมือง ซึ่งหากยึดตามสถิตินี้ หรือหากประวัติศาสตร์ซ้ำรอย นั่นจะหมายความว่า พรรครีพับลิกันจะสูญเสียที่นั่งส.ส.ในการเลือกตั้งครั้งนี้

นอกจากนี้ ยังมีผลสำรวจที่อาจสร้างกำลังใจฮึกเหิมให้ฝ่ายเดโมแครต โดยผลสำรวจซึ่งจัดทำทุกๆ สองปีโดยสถาบันการเมืองแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พบว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งอายุ 18-29 ปี มีแนวโน้มมากขึ้นที่จะออกไปใช้สิทธิ์ในการเลือกตั้งกลางเทอมปีนี้ เมื่อเทียบกับในปี 2010 และ 2014

มาร์ก อลัน สมิท อาจารย์ด้านรัฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยวอชิงตันเผยว่า จากสถิติที่ผ่านมา ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งอายุระหว่าง 18-29 ปีมักจะนอนหลับทับสิทธิ์ แต่หากคนกลุ่มนี้ออกไปหย่อนบัตรเมื่อไรแล้วละก็ มีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะโหวตให้กับพรรคเดโมแครต

ด้านผู้เชี่ยวชาญหลายรายกล่าวว่า คนหนุ่มสาวที่สนับสนุนพรรคเดโมแครตมีความกระตือรือร้นที่จะออกไปใช้สิทธิ์มากกว่าทางฟากฝั่งรีพับลิกัน โดยโพลที่จัดทำขึ้นเมื่อเดือนต.ค.โดยสถาบันการเมือง พบว่า 54% ของผู้สนับสนุนเดโมแครต อายุระหว่าง 18-29 ปี จะออกไปเลือกตั้งอย่างแน่นอน เทียบกับ 43% ของรีพับลิกัน และ 24% ของผู้ที่ไม่สนับสนุนพรรคใด

ปรากฏการณ์ "Pink Wave" เพื่อนหญิง พลังหญิง

ในการเลือกตั้งกลางเทอมครั้งนี้ ได้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "Pink Wave" โดยเป็นการใช้สีชมพูซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของผู้หญิงเพื่อสื่อถึงถึงปรากฏการณ์ที่มีผู้หญิงให้ความสนใจลงสมัครเลือกตั้งมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยข้อมูลระบุว่า มีผู้หญิงลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากถึง 476 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากสถิติสูงสุดก่อนหน้านี้ที่ 298 คนในปี 1992 ยิ่งไปกว่านั้น ในจำนวนนี้ 235 คน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากพรรคเดโมแครต ชนะการเสนอชื่อเป็นตัวแทนพรรคเพื่อชิงตำแหน่งส.ส. เทียบกับสถิติก่อนหน้านี้ที่ 167 คนในปี 1992 ขณะเดียวกันจำนวนผู้หญิงที่สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐ และได้รับเลือกเป็นตัวแทนพรรค มีจำนวน 61 และ 16 คน ตามลำดับ เทียบกับสถิติสูงสุดก่อนหน้านี้ที่ 24 และ 10 คน

อย่างไรก็ดี พลังหญิงนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อทรัมป์ โดยรายงานจากเดอะ วอชิงตัน โพสต์ ระบุว่า ในสมรภูมิเลือกตั้งส.ส. 69 เขตนั้น ผู้หญิงลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคเดโมแครตมากกว่ารีพับลิกันอยู่ 13 จุด ซึ่งนับว่ามีนัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงที่ว่า ในบรรดา 69 เขตนั้น 48 เขตเคยเป็นของทรัมป์มาก่อนในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อปี 2016

เคลลี่ ดิตต์มาร์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ภาควิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรัตเจอร์ส และนักวิชาการที่ Center for American Women and Politics กล่าวว่า ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี 2016 ที่ทรัมป์คว้าชัย เป็นตัวเร่งและแรงจูงใจให้ผู้หญิงจำนวนมากลงสมัครรับเลือกตั้งกลางเทอมในปีนี้

ขณะที่ คิมเบอร์ลีย์ จอห์นสัน อาจารย์จากภาควิชาสังคมวิทยา มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก กล่าวว่า "หากผู้หญิงได้รับเลือกตั้งเข้ามานั่งในสภาได้เป็นจำนวนมาก คุณอาจจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในด้านนโยบาย เพราะผู้หญิงปกครองและบริหารงานแตกต่างออกไป"

สภาคองเกรสให้ความสำคัญในประเด็นที่เกี่ยวกับสตรีมากขึ้น และสมาชิกทั้งสองสภาจากทั้งสองพรรคทำงานร่วมกันมากขึ้น นับตั้งแต่ที่ผู้หญิงได้รับเลือกเข้าสภาเป็นจำนวนมากในปี 1992 โดยประเด็นที่ส.ส.-ส.ว.หญิงให้ความสำคัญ ได้แก่ บริการด้านสุขภาพ การศึกษา และการคุกคามทางเพศ เป็นต้น

ภาคธุรกิจผนึกกำลังออกแคมเปญรณรงค์ให้ประชาชนออกไปเลือกตั้ง คาดชาวอเมริกันแห่ใช้สิทธิ์คึกคัก

การเลือกตั้งครั้งนี้คาดว่า จะมีผู้ออกไปใช้สิทธิ์เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคนหนุ่มสาว โดยมีรายงานว่า ยอดลงทะเบียนเลือกตั้งพุ่งกว่าแสนคนหลัง เทย์เลอร์ สวิฟต์ นักร้องสาวชื่อดัง กล่าวขณะขึ้นรับรางวัลศิลปินแห่งปีบนเวทีประกาศรางวัลอเมริกัน มิวสิก อวอร์ด หรือ AMAs เชิญชวนชาวอเมริกันรุ่นใหม่ออกไปเลือกตั้งกลางเทอม

นอกจากนี้ บริษัทต่างๆ ของสหรัฐได้ร่วมกันเปิดตัวแคมเปญรณรงค์ให้ประชาชนออกไปเลือกตั้ง นำโดยเหล่าบริษัทเทคโนโลยี ยกตัวอย่างเช่น หากถาม Alexa ของ Amazon ว่า "What's my election update?" ผู้ใช้ก็จะได้รับข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับการเลือกตั้งเฉพาะเจาะจงเขตเลือกตั้งของผู้ใช้

ด้าน Google Assistant ให้คำแนะนำแก่ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเกี่ยวกับคูหาเลือกตั้ง และยังรายงานผลการเลือกตั้งแบบเรียลไทม์ในขณะที่การนับคะแนนดำเนินอยู่ ส่วน Siri ของ Apple ก็สามารถตอบคำถามที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง หรือหากยังไม่มีคำตอบในขณะนั้น Siri ก็จะนำผู้ใช้ไปยังเว็บเพจที่เกี่ยวข้อง หรือพาไปหาคำตอบในแอปข่าวของ Apple

ขณะที่แคมเปญ Time for Vote ซึ่งเปิดตัวเมื่อเดือนก.ย. โดยการรวมกลุ่มของบริษัทต่างๆ ในหลายภาคธุรกิจทั่วสหรัฐ เช่น Gap, Pay Pal และ Walmart มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มจำนวนคนออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง และเพิ่มความตระหนักรู้ของพนักงานเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมการทางเมือง ผ่านทางกิจกรรมต่างๆ เช่น อนุญาตให้ลาหยุดโดยไม่หักเงิน และงดประชุมในวันเลือกตั้ง เป็นต้น

ด้านยักษ์ใหญ่ในวงการไรด์แชริ่งอย่าง Uber ก็ไม่พลาดร่วมวง โดยเมื่อเดือนที่แล้ว บริษัทได้ประกาศมาตรการต่างๆ ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้ชาวอเมริกันออกไปโหวต ซึ่งรวมถึงการเพิ่มเครื่องมือในแอป เพื่อช่วยให้ผู้ที่ต้องการออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งเรียกรถสำหรับเดินทางไปยังคูหาเลือกตั้ง และบริการเดินทางฟรี เป็นต้น

ส่วนสองบิ๊กแห่งโซเชียลมีเดียอย่าง Twitter และ Facebook ที่ได้ให้เข้าปากคำต่อสภาคองเกรส เกี่ยวกับกรณีการแทรกแซงการเลือกตั้งปี 2016 ก็ได้ถือโอกาสในช่วงการเลือกตั้งกลางเทอมปีนี้ ปรับภาพลักษณ์เสียใหม่ โดยมีรายงานข่าวว่า จนถึงวันศุกร์ที่ผ่านมา Twitter ได้ลบบัญชีอัตโนมัติมากกว่า 10,000 บัญชีที่มีเจตนาขัดขวางผู้ใช้ไม่ให้ออกไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง

ความพยายามของทุกภาคส่วนในการรณรงค์ให้ชาวอเมริกันออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งกลางเทอมปีนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ และที่สุดแล้ว ผลการเลือกตั้งกลางเทอมจะออกมาเป็นเช่นไร อีกไม่นานคงได้รู้กัน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ