ฉบับที่ 44/2565 วันที่ 16 มีนาคม 2565
ผลการประชุมปลัด
กระทรวงการคลังและรองผู้ว่าการ
ธนาคารกลางเอเปค
(APEC Finance and Central Bank Deputies? Meeting) ในวันที่ 16 มีนาคม 2565
ในรูปแบบการประชุมผ่านสื่อ
อิเล็กทรอนิกส์
?ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล มุ่งสู่การเงินการคลังยั่งยืน?
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษก
กระทรวงการคลัง แถลงว่า
กระทรวงการคลังเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมปลัด
กระทรวงการคลังและรองผู้ว่าการ
ธนาคารกลางเอเปค
(APEC Finance and Central Bank Deputies? Meeting: FCBDM) ระหว่างวันที่ 16 ? 17 มีนาคม 2565 ในรูปแบบ
การประชุมผ่านสื่อ
อิเล็กทรอนิกส์ โดยมีปลัด
กระทรวงการคลังเป็นประธาน พร้อมด้วยนายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ด้วย และมีผู้แทนสมาชิก
เอเปคในระดับปลัด
กระทรวงการคลังและรองผู้ว่าการ
ธนาคารกลางและผู้แทนระดับสูงจากสมาชิก
เอเปค ผู้แทนจากองค์กรระหว่างประเทศ อาทิ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organization for Economic
Co-operation and Development: OECD) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) กลุ่มธนาคารโลก (World Bank Group) ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank) เป็นต้น และผู้แทนภาคเอกชนจากสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจ
เอเปค (APEC Business Advisory Council: ABAC) เข้าร่วมการประชุม ภายใต้แนวคิดหลัก ?ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล มุ่งสู่การเงินการคลังยั่งยืน? (?Advancing Digitalization, Achieving Sustainability?) โดยการประชุมเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2565 มีการหารือที่สำคัญ ดังนี้
1. แผนงานความร่วมมือภายใต้กรอบรัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงการคลังเอเปค 2022 (APEC Finance Ministers? Process (APEC FMP) Work Plan 2022) ที่ประชุมได้เห็นชอบ APEC FMP Workplan 2022 โดยแผนงานดังกล่าวให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูภูมิภาค
เอเปคในบริบทโลกหลังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่มุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อมุ่งสู่การเป็นสังคมดิจิทัลและการเงินอย่างยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ปุตราจายา ค.ศ. 2040 ที่เน้นการขับเคลื่อนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ 3 มิติ ได้แก่ การค้าและการลงทุน นวัตกรรมและการใช้ประโยชน์จากดิจิทัล และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง สมดุล มั่นคง ยั่งยืน
และครอบคลุม และในการประชุมครั้งนี้
กระทรวงการคลังได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น เสนอประเด็นสำคัญ (Priorities)
ที่ต้องการผลักดันให้เกิดความร่วมมือระหว่างเขตเศรษฐกิจ
เอเปคอย่างเป็นรูปธรรมภายใต้แนวคิดหลัก ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 หัวข้อหลัก ดังนี้
1.1 การเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Finance) ซึ่งมุ่งเน้นการหาแนวทาง
ในการจัดหาแหล่งทุนสำหรับทุกภาคส่วนเพื่อให้สามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้อย่างเหมาะสมและเพียงพอ โดยเฉพาะ
การจัดหาแหล่งทุนผ่านตลาดทุนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของเขตเศรษฐกิจ
1.2 การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อมุ่งสู่การเป็นเศรษฐกิจดิจิทัล (Digitalization for Digital Economy) เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งได้เน้นด้านการเป็นเศรษฐกิจดิจิทัลร่วมกันในภูมิภาค โดยสามารถแบ่งได้เป็น 3 ด้าน ได้แก่ (1) การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสร้างโอกาสในการเข้าถึงบริการของภาครัฐของ
เอเปค และการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ (2) การหาแนวทางส่งเสริมความร่วมมือในการเชื่อมโยงการชำระเงินในกลุ่มเขตเศรษฐกิจ
เอเปค (APEC Payment Connectivity) และ (3) การสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนโดยใช้เทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) และการส่งเสริมภาคธุรกิจในการระดมทุนผ่านตลาดทุน
2. สถานการณ์เศรษฐกิจโลก ภูมิภาค และแนวโน้ม (Global and Regional Economic Outlook) ผู้แทนหน่วยงานสนับสนุนนโยบายของ
เอเปค (APEC Policy Support Unit: APEC PSU) ได้นำเสนอผลวิเคราะห์ทิศทางเศรษฐกิจของภูมิภาค โดยที่ผ่านมาเศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบจากปัจจัยการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ปัจจัยด้านข้อจำกัดในการเดินทาง และปัญหาผลกระทบด้านอุปทาน ทั้งนี้ APEC PSU ประมาณการเศรษฐกิจว่า เศรษฐกิจโลกในปี 2565 และปี 2566 จะขยายตัวที่ร้อยละ 4.4 และ 3.8 ต่อปี ตามลำดับ ในขณะที่เศรษฐกิจ
เอเปค
จะขยายตัวที่ร้อยละ 4.2 และ 3.8 ต่อปี ตามลำดับ อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจโลกยังต้องเผชิญปัจจัยความเสี่ยงต่าง ๆ
เช่น การกลายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19 อัตราเงินเฟ้อ การปรับตัวสูงขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ระดับหนี้ที่สูง
และการปรับตัวสูงขึ้นของราคาสินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ ซึ่งอาจเพิ่มแรงกดดันต่อปัญหาเงินเฟ้อและความชะงักงันของห่วงโซ่อุปทานได้
ผู้แทนจาก IMF ได้คาดว่าในปี 2565 เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวที่ร้อยละ 4.4 ต่อปี โดยภูมิภาค
เอเปคในปี 2565 จะขยายตัวที่ร้อยละ 4.0 ต่อปี สำหรับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในหลายเขตเศรษฐกิจเริ่มมีแนวโน้ม
ที่ดีขึ้น สะท้อนจากยอดผู้ติดเชื้อสะสมใหม่เฉลี่ย 7 วันที่มีจำนวนลดลง ปริมาณผู้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้น
อีกทั้งรายงานข้อมูลความเคลื่อนไหวของประชากรในชุมชน (COVID-19 Community Mobility Reports) ที่มีแนวโน้มดีขึ้น อย่างไรก็ดี สถานการณ์เศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เริ่มมีความไม่แน่นอนมากขึ้น สะท้อนจากสถานการณ์ราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อในหลายๆ เขตเศรษฐกิจได้ปรับตัวสูงขึ้น
สำหรับเศรษฐกิจไทย ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะผู้แทนไทยได้นำเสนอสถานการณ์และทิศทางเศรษฐกิจไทยโดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2565 จะขยายตัวได้ร้อยละ 4.0 ต่อปี แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 และผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นจากปัญหาความไม่แน่นอน
ของด้านภูมิรัฐศาสตร์ แต่มีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถฟื้นตัวได้จากสถานการณ์โควิด-19 ที่ปรับตัวดีขึ้น นโยบายการคลังที่สนับสนุนเศรษฐกิจต่อเนื่อง และการท่องเที่ยวจากต่างชาติจะสามารถกลับมาเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังซึ่งจะส่งผลบวกต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจในอนาคตต่อไป นอกจากนี้ ผู้แทนสมาชิก
เขตเศรษฐกิจ
เอเปคอื่น ๆ ได้มีการแลกเปลี่ยนมุมมองสถานการณ์และทิศทางเศรษฐกิจของเขตเศรษฐกิจ
เอเปค
ซึ่งสะท้อนถึงทิศทางการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภูมิภาค
เอเปค
ทั้งนี้ การดำเนินการเพื่อให้บรรลุตามข้อเสนอผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมนั้น
กระทรวงการคลังได้รับ
การสนับสนุนและความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสมาชิก
เอเปค องค์การระหว่างประเทศ
และภาคเอกชนในการดำเนินการร่วมกันเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง เพื่อขับเคลื่อนภูมิภาค
เอเปคให้มุ่งสู่การเจริญเติบโตที่เข้มแข็ง สมดุล มั่นคง ยั่งยืนและครอบคลุมต่อไป โดยการประชุม FCBDM
จะดำเนินต่อไปในวันที่ 17 มีนาคม 2565 ซึ่งเขตเศรษฐกิจ
เอเปคจะหารือกันในประเด็นการเงินเพื่อความยั่งยืน
และเศรษฐกิจดิจิทัล
สำนักนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3613/3610
ที่มา: กระทรวงการคลัง