รายงานภาวะเศรษฐกิจรายวันประจำวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2552

ข่าวเศรษฐกิจ Monday February 2, 2009 13:06 —กระทรวงการคลัง

Macro Morning Focus ประจำวันที่ 2 ก.พ. 2552

SUMMARY:

1. ธปท.ยอมรับเศรษฐกิจหดตัวจะส่งผลให้หนี้ NPL เพิ่มสูงขึ้น

2. คำสั่งซื้อติดลบฉุดยอดการผลิตปี 52 ต่ำ

3. เศรษฐกิจสหรัฐหดตัวรุนแรงที่สุดในรอบ 26 ปี

HIGHLIGHT:

1. ธปท.ยอมรับเศรษฐกิจหดตัวจะส่งผลให้หนี้ NPL เพิ่มสูงขึ้น

  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยอมรับเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจะส่งผลให้หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เพิ่มขึ้น เนื่องจากรายได้ของผู้ประกอบการลดลง ซึ่งจะส่งผลให้ความสามารถในการชำระหนี้ลดลง อย่างไรก็ตาม การบริหารความเสี่ยงของธนาคารพาณิชย์ที่ดีขึ้นกว่าในอดีต อาจทำให้หนี้ NPL ไม่สูงขึ้นมาก ด้าน บล.กสิกรไทย คาดว่า NPL มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น โดยเห็นได้จากยอดหนี้ที่ไม่จ่ายดอกเบี้ยในไตรมาส 4/51 ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก นอกจากนี้ พบว่ายอดสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นในช่วงปลายปีเกิดจากการที่ปริษัทกักตุนเงินสดเพื่อเสริมสภาพคล่องแทนที่จะนำไปลงทุน
  • สศค. วิเคราะห์ว่า อัตรา NPL ต่อสินเชื่อรวมของระบบธนาคารพาณิชย์ยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 3.19 ณ สิ้นปี 2551 อย่างไรก็ตาม ภาวะเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มหดตัวในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2551 และปี 2552 ซึ่งเกิดจากปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจที่จะส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตและการบริโภคภายในประเทศมีแนวโน้มชะลอตัวลงด้วยเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ คาดว่าในปี 2552 เศรษฐกิจของประเทศไทยจะขยายตัวเพียงร้อยละ 0.0 -2.0 ต่อปี การลงทุนและการบริโภคภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัวเพียงร้อยละ 3.0 และร้อยละ 2.2 ต่อปี ตามลำดับ

2. คำสั่งซื้อติดลบฉุดยอดการผลิตปี 52 ต่ำ

  • ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เผยว่า ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐที่ชะลอตัวลง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ในด้านการส่งออก อีกทั้งยังส่งผลกระทบทางอ้อมต่อการนำเข้าของประเทศต่างๆให้ชะลอตัวลง ส่งผลต่อเนื่องถึงภาคการผลิตและการลงทุน ทั้งนี้ในส่วนของผู้ผลิตที่ส่งผลกระทบมากที่สุดคือสินค้าที่ผลิตเพื่อส่งออก โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย โดยในเดือนธ.ค.51 การส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าหดตัวลงที่ร้อยละ -20.7 ต่อปี อิเล็กทรอนิคส์หดตัวลงที่ร้อยละ -34.6 ต่อปี สิ่งทอ -7.0 ต่อปี และยานยนต์ — 20.7 ต่อปี
  • สศค. วิเคราะห์ว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมพบว่าดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ในเดือนธ.ค. หดตัวร้อยละ -19.7 ต่อปี ซึ่งเป็นการหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 ในรอบปี 2551 ส่งผลให้ไตรมาสที่ 4 ปี 2551 หดตัวถึงร้อยละ -9.7 สะท้อนการชะลอการผลิตของภาคอุตสาหกรรม ตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลกระทบต่อความต้องการของตลาดต่างประเทศที่หดตัวลงมาก (Global Recession) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น จีน และสิงคโปร์ ขณะเดียวกันสินค้าอุตสาหกรรมที่เน้นตลาดภายในประเทศ เช่น อุตสาหกรรมอาหาร การปั่น การทอ ก็หดตัวลงตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทย ทั้งนี้ MPI ที่หดตัวลงมากในไตรมาส 4 ดังกล่าวจะเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้ GDP หดตัวลงมากในไตรมาสที่ 4 ปี 2551

3. เศรษฐกิจสหรัฐหดตัวรุนแรงที่สุดในรอบ 26 ปี

  • เศรษฐกิจสหรัฐในไตรมาส 4 ปี 51 หดตัวร้อยละ -3.8 ต่อปี เทียบกับไตรมาสก่อน (หรือร้อยละ -0.2 เทียบกับไตรมาส 4 ปี 51) ซึ่งเป็นการหดตัวรายไตรมาสที่รุนแรงที่สุดในรอบ 26 ปี และทำ GDP สหรัฐในปี 51 ขยายตัวที่ร้อยละ 1.3 ชะลอลงจากร้อยละ 2.1 ในปี 50 ทั้งนี้ ตัวเลข GDP ดังกล่าวหดตัวต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดไว้ที่ร้อยละ 5-6 เนื่องจากการผลิตสินค้าคงคลัง เพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดที่ร้อยละ 1.3 ของอัตราการขยายตัว ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนซึ่งเป็นสัดส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 70 ของ GDP มีส่วนทำให้ GDP หดตัวร้อยละ -2.47 และการส่งออกมีส่วนทำให้ GDP หดตัวร้อยละ -2.84 นอกจากนั้นยังพบว่าอัตราการออมครัวเรือนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 3.0 ของรายได้สุทธิ
  • สศค. วิเคราะห์ว่าในระยะต่อไป เศรษฐกิจสหรัฐน่าเป็นห่วงมาก เนื่องจากแม้ว่าอัตราการหดตัวในไตรมาสที่ 4 ปี 2551 จะน้อยกว่าที่ตลาดคาด แต่เป็นการเพิ่มขึ้นของสินค้าคงคลังเป็นหลัก ซึ่งอาจทำให้ผู้ผลิตไม่สามารถผลิตสินค้าใหม่ได้มากนักในไตรมาสที่ 1 เนื่องจากความต้องการซื้อหดตัวลงมากขณะที่ผู้ผลิตต้องการระบายสินค้าออก นอกจากนั้น การที่อัตราการออมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เนื่องจากประชาชนมีความกังวลต่อเศรษฐกิจจึงเก็บออมเงิน ทำให้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลโอบามาอาจไม่มีประสิทธิภาพมากนัก และอาจทำให้ GDP สหรัฐในไตรมาส 1 ปี 52 หดตัวลงอีกมาก

ที่มา: Macroeconomic Analysis Group: Fiscal Policy Office

Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ