Macro Morning Focus ประจำวันที่ 17 ส.ค. 2552
1. กสิกรไทย คาดแบงก์พาณิชย์ขึ้นดอกเบี้ยก่อนสิ้นปี แต่อาร์-พีทรงตัวถึง Q2/53
2. ธนาคารกรุงไทยเผยสัญญาณเศรษฐกิจเริ่มฟื้นลูกค้ากลับมาขอสินเชื่อเพิ่มขึ้น
3. ขายส่งและปลีกของเศรษฐกิจสหรัฐฯ หดตัวพร้อมตัวเลขตกงาน
- ธนาคารกสิกรไทยคาดว่า อัตราดอกเบี้ยในระบบธนาคารพาณิชย์จากนี้ไปจะอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่คงปรับขึ้นในอัตราไม่มากนัก โดยจะปรับขึ้นอย่างชัดเจนในปี 53 ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (RP 1 วัน) น่าจะยังทรงตัวที่ระดับร้อยละ 1.25 ไปจนถึงไตรมาส 2/53 เนื่องจากทางการต้องการเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ชัดเจนมากขึ้น แต่เป็นไปได้ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางปี 53 เป็นต้นไป เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed)ที่ระดับร้อยละ 0.25 คงจะเริ่มปรับขึ้นไปอยู่ในระดับเดียวกับดอกเบี้ยนโยบายของไทย จนทำให้ดอกเบี้ยนโยบายของไทยต้องปรับสูงขึ้นไปเพื่อรักษาส่วนต่างเอาไว้
- สศค. วิเคราะห์ว่า ในปัจจุบัน ผลตอบแทนพันธบัตร (Yield Curve) ของไทยอายุ 2 ปี และ 10 ปี อยู่ที่ร้อยละ 1.9 และร้อยละ 4.5 ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (RP-1) ที่ร้อยละ 1.25 อย่างมาก บ่งชี้ว่าทิศทางดอกเบี้ยในอนาคตอาจต้องปรับสูงขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งมากจากการที่รัฐบาลออกมาตรการกู้เงินจำนวน 7 แสนล้านบาท ทำให้สถาบันการเงินต่างๆ คาดการณ์ว่าสภาพคล่องในอนาคตจะลดลง จึงเร่งระดมเงินฝากโดยการขึ้นดอกเบี้ยในปัจจุบันเพื่อจูงใจให้ประชาชนนำเงินมาฝาก นอกจากนั้นการที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเริ่มปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้ง ประกอบกับการที่ทางการทั่วโลกทำนโยบายการคลังขาดดุลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ความคาดหวังเงินเฟ้อ (Inflation Expectation) ในอนาคตเพิ่มขึ้น จึงเป็นไปได้ว่าดอกเบี้ยนโยบายทั่วโลกรวมทั้งไทยอาจปรับเพิ่มขึ้นในระยะต่อไป
- กรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยเริ่มปรับตัวดีขึ้นแล้ว โดยขณะนี้ภาคธุรกิจเริ่มกลับมาขอสินเชื่อมากขึ้น โดยเฉพาะการขอสินเชื่อที่เป็นเงินทุนหมุนเวียน หรือ working cap หลังจากที่ลูกค้าเริ่มมีคำสั่งซื้อสินค้ากลับเข้ามา อย่างไรก็ตาม แม้แนวโน้มเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้น แต่ยอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของธนาคารยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจที่ตกต่ำลง ซึ่งกว่าเศรษฐกิจจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ต้องใช้เวลากว่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
- สศค. วิเคราะห์ว่า แม้ว่าภาวะวิกฤติเศรษฐกิจในปัจจุบันจะทำให้ธนาคารพาณิชย์เข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยอดคงค้างสินเชื่อส่วนบุคคลทั้งระบบในเดือนมิ.ย. 52 ที่ 8.52 ล้านล้านบาทนั้นเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ 8.48 ล้านล้านบาท บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจเริ่มมีแนวโน้มฟื้นตัว ทำให้ยอดขอและอนุมัติสินเชื่อเริ่มมีแนวโน้มดีขึ้น นอกจากนั้น การที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) มีการปล่อยสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 52 สามารถปล่อยได้ถึงประมาณ 9.6 หมื่นล้านบาท เป็นสัญญาณสนับสนุนการฟื้นตัวขึ้นของเศรษฐกิจเช่นกัน
- ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของสหรัฐฯ ในเดือน ก.ค. หดตัวมากกว่าที่คาดการณ์ใว้ โดยมูลค่าการซื้อลดลงร้อยละ -0.1 ต่อปี เนื่องจากการปรับตัวลดลงของความต้องการซื้อสินค้าตามร้านค้าต่างๆ นอกจากนั้น รัฐบาลรายงานว่าชาวสหรัฐคำขอสวัสดิการผู้ว่างงานของสหรัฐ (Jobless Claim) มากกว่าที่คาดการณ์ใว้ บ่งชี้ถึงสถานการณ์ด้านแรงงานเริ่มอ่อนแอลงอีกครั้ง และสะท้อนถึงสัญญาณของบริโภคที่ยังคงระมัดระวังการใช้จ่าย และอาจบ่งชี้ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังคงมีความเปราะบางสูง
- สศค. วิเคราะห์ว่า สาเหตุของการหดตัวดังกล่าวอาจเป็นผลมาจากปริมาณการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้บริโภคที่ยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำซึ่งสะท้อนได้จากตัวเลขสินเชื่อผู้บริโภค (Consumer Credit) ที่หดตัวที่ร้อยละ -10.3 ต่อเดือนในเดือน มิ.ย. 52 หดตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่หดตัวร้อยละ -3.2 ต่อเดือน นอกจากนั้นภาคการจ้างงานยังคงตกต่ำต่อเนื่องเช่นกัน สะท้อนจากอัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ระดับ 9.5 ของกำลังแรงงานรวมในเดือนมิ.ย. บ่งชี้ว่าภาคการบริโภค รวมถึงเศรษฐกิจสหรัฐโดยรวมอาจยังคงเสี่ยงต่อการหดตัวอีกครั้ง (W-shaper Recovery)
ที่มา: Macroeconomic Analysis Group: Fiscal Policy Office
Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th