(ต่อ3)ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสสอง และแนวโน้มปี 2551

ข่าวเศรษฐกิจ Friday September 5, 2008 15:11 —สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

- การจ้างงานเฉลี่ยในไตรมาสที่ 2 มีจำนวน 36.80 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 จากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว โดยมีการจ้างงานในภาคเกษตรจำนวน 13.69 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 และผู้มีงานทำนอกภาคเกษตร 23.12 ล้านคนเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 โดยสาขาที่มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ได้แก่สาขาก่อสร้าง สาขาการค้า และสาขาโรงแรมและภัตตาคารเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 3.5 และร้อยละ 1.7 ตามลำดับ ส่วนสาขาอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 1.5 ตามภาวะการชะลอตัวของการผลิต สำหรับอัตราการว่างงานอยู่ในระดับร้อยละ 1.4 และ ณ สิ้นไตรมาส 2 มีสถานประกอบการที่ขึ้นทะเบียนประกันสังคม 381,828 แห่ง มีผู้ประกันตนจำนวน 8.79 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนกองทุนประกันสังคม ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 จำ นวน 569,113 ล้านบาท มีผู้ใช้บริการ 1.79 ล้านคน หรือร้อยละ 20.3 ของผู้ประกันตนทั้งหมด ถึงแม้ว่าภาวะเศรษฐกิจในไตรมาสนี้ชะลอตัว แต่โอกาสในการหางานทำมีมากขึ้น จะเห็นจากสัดส่วนตำแหน่งงานว่างต่อจำนวนผู้สมัครงานใหม่อยู่ในระดับ 0.84 เท่าเพิ่มขึ้นจาก 0.76 เท่าในไตรมาสเดียวของปีที่ผ่านมา - เสถียรภาพด้านต่างประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี แม้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศลดลง เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน เท่ากับ 106.018 พันล้านดอลลาร์ สรอ.(ง) (และมี Net Forward Position อีก 18.264 พันล้านดอลลาร์) ลดลงจาก 109.678 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ณ สิ้นเดือนมีนาคม (และรวม Net Forward Position อีก 21.456 พันล้านดอลลาร์) ซึ่งคิดเป็นประมาณ 3.8 — 4.2 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น และเท่ากับการนำเข้าประมาณ 7.4 เดือน ในไตรมาสนี้ เงินทุนสำรองระหว่างประเทศลดลงเนื่องจากการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด และนักลงทุนต่างชาติเคลื่อนย้ายเงินทุนออกนอกประเทศไทยเพื่อชดเชยความเสียหายที่เกิดจากปัญหา sub-prime หมายเหตุ (ง) ณ วันที่ 8 สิงหาคม 2551 เงินทุนสำรองระหว่างประเทศเท่ากับ 103.061 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (และ Net Forward Position ลดลงต่อเนื่องเป็น 16.306 พันล้านดอลลาร์) - ฐานะการคลัง: เกินดุลเงินสดเป็นไตรมาสแรกของปีงบประมาณนี้ ในไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ 2551 (เม.ย.-มิ.ย.51) รัฐบาลมีรายได้นำ ส่งคลัง 515,122.75 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีงบประมาณก่อนร้อยละ 12.6 และมีรายจ่าย 424,600.94 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีงบประมาณก่อนร้อยละ 1.75 ทำให้ดุลเงินงบประมาณเกินดุลจำนวน 90,521.81 ล้านบาท ซึ่งเกินดุลสูงกว่าจากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณก่อนจำ นวน 50,502.06 ล้านบาท และเมื่อรวมดุลเงินนอกงบประมาณที่ขาดดุลจำนวน 22,538.15 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลมีดุลเงินสดก่อนกู้เกินดุลจำ นวน 67,983.66 ล้านบาท ในขณะที่ไตรมาสเดียวกันของปีงบประมาณก่อนมีการขาดดุลอยู่จำนวน 268.32 ล้านบาท นับตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ 2551 ถึงสิ้นไตรมาสที่ 3 (ต.ค.50-มิ.ย.51) รัฐบาลมีรายได้นำ ส่งคลังทั้งสิ้น 1,149,865.85 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ร้อยละ 7.5 โดยภาษีหลักที่จัดเก็บได้เพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงได้แก่ ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม และอากรขาเข้า สำหรับด้านรายจ่าย รัฐบาลมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณทั้งสิ้น 1,220,082.43 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 5.7 เป็นผลให้ดุลเงินงบประมาณขาดดุลจำนวน 70,216.58 ล้านบาท ขาดดุลลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 17.1 และเมื่อรวมดุลเงินนอกงบประมาณที่ขาดดุลจำนวน 35,587.94 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลมีดุลเงินสดก่อนกู้ขาดดุลจำนวน 105,804.52 ล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 44.2 ทั้งนี้ รัฐบาลได้ชดเชยการขาดดุลด้วยการออกพันธบัตรรัฐบาลและตั๋วสัญญาใช้เงินรวมจำนวน 151,891.33 ล้านบาท - หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2551 มีจำนวน 3.4 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 เมื่อเทียบกับยอดหนี้คงค้าง ณ สิ้นปี 2550 โดยสาเหตุหลักเนื่องจากการก่อหนี้โดยตรงของภาครัฐโดยเฉพาะหนี้ในประเทศเพื่อชดเชยการขาดดุลเงินงบประมาณ อย่างไรก็ตาม สัดส่วนหนี้สาธารณะคงค้างเมื่อเทียบกับ GDP อยู่ที่ร้อยละ 35.82 ของ GDP ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับร้อยละ 37.97 ณ สิ้นปี 2550 - ภาวะการเงิน: อัตราดอกเบี้ยนโยบายทรงตัว แต่อัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินเพิ่มขึ้น จากสภาพคล่องที่ปรับตัวลดลงเนื่องจากภาคธุรกิจมีความต้องการเงินทุนในการดำเนินการมากขึ้น โดยมีการระดมทุนจากทั้งตลาดทุนและสินเชื่อธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้นสินเชื่อภาคครัวเรือนยังคงขยายตัวสูงตามการใช้จ่ายซื้อรถยนต์และที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น เงินฝากหดตัวลงเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงยังอยู่ในระดับต่ำค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นแต่ดัชนีค่าเงินบาทอ่อนค่าลงตลาดหลักทรัพย์ ปรับตัวลดลงและมีความผันผวนสูงนักลงทุนต่างชาติย้ายการลงทุนมาที่ตลาดตราสารหนี้มากขึ้น - อัตราดอกเบี้ยนโยบายทรงตัวแต่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ณ สิ้นไตรมาสสองอยู่ที่ร้อยละ 3.25 ต่อปี และในวันที่ 16 กรกฎาคม 2551 คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (กนง.) ได้มีมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เป็นร้อยละ 3.50 ต่อปี (ปรับเพิ่มจากร้อยละ 3.25) เนื่องจากแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศในภูมิภาคเอเชีย สำหรับตลาดการเงินในต่างประเทศนั้น ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ร้อยละ 2 ในไตรมาสที่สอง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ ในปัจจุบันให้น้ำ หนักต่ออัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่าปัญหาอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น ส่วนธนาคารกลางในประเทศยุโรปได้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ร้อยละ 4.0 ต่อปี จนสิ้นไตรมาสที่สองก่อนที่จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยไปอยู่ที่ร้อยละ 4.25 ต่อปี ในเดือนกรกฎาคม ในขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 0.5 ต่อปี - อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ของ ธพ. ปรับตัวขึ้นแต่อัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นมาก ทำ ให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงลดลง ณ สิ้นไตรมาสสองของปี 2551 อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน และ 12 เดือนเฉลี่ยของ 5 ธนาคารใหญ่ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.13 และ 2.32 ต่อปี มาอยู่ที่ร้อยละ 2.50 และ 2.88 ต่อปี ตามลำดับ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ชั้นดีแบบมีระยะเวลา (MLR) ปรับตัวขึ้นจากร้อยละ 6.99 เป็นร้อยละ 7.38 แต่เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 8.9 ในเดือนมิถุนายน ทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่แท้จริงเป็นอัตราติดลบร้อยละ 6.03 และ 1.5 ต่อปี ตามลำดับและในเดือนกรกฎาคม อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 9.2 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่แท้จริงติดลบร้อยละ 6.33 และ 1.8 ต่อปี - เงินฝากธนาคารพาณิชย์ลดลง สิ้นไตรมาสสอง เงินฝากหดตัวลงร้อยละ 1.0 ลดลงจากการขยายตัวร้อยละ 2.5 ในไตรมาสแรก จากภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นจนทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบ โดยปริมาณเงินฝากลดลงทั้งประเภทออมทรัพย์และฝากประจำ และลดลงทุกขนาดของมูลค่าบัญชีเงินฝาก อย่างไรก็ตาม มีการออมในรูปตั๋วแลกเงิน (B/E) เพิ่มขึ้น ซึ่งได้รับความนิยมมากขึ้นในระยะหลังเนื่องจากให้ผลตอบแทนสูงกว่าการฝากเงินในธนาคารพาณิชย์ - สินเชื่อยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากความต้องการเงินทุนดำเนินการเพิ่มขึ้น รวมทั้งการใช้จ่ายในหมวดยานยนต์ และที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น ณ สิ้นไตรมาสสอง สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ขยายตัวขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2550 ร้อยละ 12.1 เพิ่มขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 11.1 ณ สิ้นไตรมาสแรก ส่วนสินเชื่อของสถาบันรับฝากเงินเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากร้อยละ 6.0 ณ สิ้นไตรมาสแรก เป็นร้อยละ 9.3 ซึ่งเป็นการขยายตัวของสินเชื่อภาคธุรกิจ ร้อยละ 7.7 เมื่อพิจารณารายสาขาธุรกิจ พบว่าสินเชื่ออุตสาหกรรมการผลิต สินเชื่อเพื่อการพาณิชย์และสินเชื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังเติบโตดี โดยขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนถึงร้อยละ 7-18 ส่วนสินเชื่อเพื่อการเกษตร และสินเชื่อเพื่อการก่อสร้างหดตัวลง โดยเฉพาะภาคการก่อสร้าง ลดลงร้อยละ 23.4 ซึ่งลดลงต่อเนื่องจากไตรมาสสี่ปี 2550 เนื่องจากการลงทุนในการก่อสร้างภาคเอกชนชะลอตัวมากในภาวะที่ต้นทุนวัสดุก่อสร้าง และทุนดำเนินการสูงขึ้นมาก การก่อสร้างชะลอการลงทุน ส่วนสินเชื่อที่ให้กับภาคธนาคารและสถาบันการเงินชะลอลงจากไตรมาสแรก สำหรับสินเชื่อภาคครัวเรือนขยายตัวสูงที่ร้อยละ 9.8 โดยมาจากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อเพื่อซื้อหรือเช่าซื้อรถยนต์ ปริมาณการใช้จ่ายบัตรเครดิตและการเบิกเงินสดล่วงหน้าลดลง จากภาวะเงินตึงตัวมากขึ้นทำให้ประชาชนระมัดระวังการใช้จ่าย แต่ยอดคงค้างบัตรเครดิตยังขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 6.0 - สภาพคล่องในระบบธนาคารพาณิชย์ลดลง จากสินเชื่อที่ขยายตัวเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เงินฝากลดลง ทำให้สัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากปรับตัวสูงขึ้นเป็นร้อยละ 102.5 สภาพคล่องส่วนเกินของระบบธนาคารพาณิชย์ที่พร้อมนำไปใช้ลดลง โดยมีมูลค่าประมาณ 911 พันล้านบาท เทียบกับ 1,035 พันล้านบาทในไตรมาสแรก ปี 2551 - NPLs ทรงตัว NPLs ในระบบสถาบันการเงินที่ไม่รวมสำนักงานวิเทศธนกิจและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ณ สิ้นไตรมาสสองปี 2551 มีมูลค่ารวม 231.8 พันล้านบาทคิดเป็นร้อยละ 3.77 ของสินเชื่อรวม ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้า - ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนขยายตัวสูง ในไตรมาสนี้บริษัทจดทะเบียนมีกำไรสุทธิรวม 161.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2550 ร้อยละ 67.7 โดยภาคธุรกิจที่มีผลกำไรสูง ได้แก่ กลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภคกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารกลุ่มวัตถุดิบและสินค้าอุตสาหกรรม สำหรับภาคธุรกิจการเงินมีกำไรเพิ่มขึ้นร้อยละ 349.2 เนื่องจากผลกำไรปีที่แล้วอยู่ในระดับต่ำซึ่งเป็นผลจากการกันสำรองตามหลักเกณฑ์ใหม่เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของระบบธนาคารพาณิชย์ในไตรมาสที่สองสูงอยู่ที่ระดับร้อยละ 15.2 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 14.7 ในไตรมาสก่อนหน้า สินเชื่อรายสาขา 2550 2551 % YOY Q1 Q2 Q3 Q4 Q1 Q2 การผลิต 1.8 -0.6 -1.7 1.6 2.6 7.4 การก่อสร้าง 16.8 15.6 9.5 -2.4 -3.6 -23.4 การพาณิชย์ 1.5 -0.8 -0.3 4.0 6.0 11.5 ธนาคารและธุรกิจการเงิน -9.8 1.2 15.6 9.0 93.2 65.0 อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ -8.3 -0.9 0.2 5.5 5.5 18.0 อุปโภคบริโภคส่วนบุคคล 9.1 12.2 12.5 14.0 13.3 16.0 การจัดหาที่อยู่อาศัย 14.5 10.6 8.9 13.2 12.0 13.7 การซื้อ/เช่าซื้อรถยนต์ -6.3 22.7 21.6 24.4 25.1 29.8 ที่มา : ธนาคารแหงประเทศไทย(ยังมีต่อ).../-ค่าเงินบาทเฉลี่ยไตร..

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ