บทสรุปสำหรับผู้บริหาร การสำรวจการอ่านของประชากร พ.ศ. 2558

ข่าวผลสำรวจ Tuesday March 1, 2016 14:55 —สำนักงานสถิติแห่งชาติ

สำนักงานสถิติแห่งชาติ ดำเนินการสำรวจการอ่านของประชากร ครั้งแรกในปี 2546 เฉพาะประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป และตั้งแต่ปี 2551 ได้เพิ่มเรื่องการอ่าน ของเด็กเล็ก (อายุต่ำกว่า 6 ปี) สำหรับการสำรวจปี 2558 ได้ขยายคำนิยามการอ่าน ให้รวมการอ่านข้อความในสื่อสังคมออนไลน์/SMS/E-mail ด้วย โดยเก็บรวบรวมข้อมูลเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2558 จากจำนวนครัวเรือนตัวอย่าง 55,920 ครัวเรือน ซึ่งสรุปผลการสำรวจที่สำคัญได้ดังนี้

1. การอ่านของเด็กเล็ก (อายุต่ำกว่า 6 ปี)

การอ่านของเด็กเล็ก ในที่นี้รวมถึงการอ่านด้วยตนเอง หรือผู้ใหญ่อ่านให้ฟังด้วย

1.1 อัตราการอ่านนอกเวลาเรียน

จากผลการสำรวจปี 2558 พบว่า เด็กเล็กที่อ่านมีประมาณ 2.7 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 60.2 เด็กผู้หญิงมีอัตราการอ่านสูงกว่าเด็กผู้ชายเล็กน้อย (ร้อยละ 60.9 และร้อยละ 59.5 ตามลำดับ)

เมื่อเปรียบเทียบกับการสำรวจที่ผ่านมา พบว่าอัตราการอ่านของเด็กเล็กในปี 2556 มีร้อยละ 58.9 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็นร้อยละ 60.2 ในปี 2558 โดยเด็กหญิงและเด็กชายมีอัตราการอ่านเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเช่นเดียวกัน

อัตราการอ่านของเด็กเล็กมีความแตกต่างกันระหว่างเขตการปกครองและภาค โดยในเขตเทศบาลมีอัตราการอ่านสูงกว่านอกเขตเทศบาล (ร้อยละ 63.9 และ 57.4 ตามลำดับ) เด็กเล็กในกรุงเทพมหานคร มีอัตราการอ่านสูงสุด (ร้อยละ 73.8) ขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เด็กเล็กมีอัตราการอ่านต่ำสุด (ร้อยละ 55.9)

เด็กเล็กมีอัตราการอ่านเพิ่มขึ้นเกือบทุกพื้นที่ โดยเด็กเล็กที่อาศัยนอกเขตเทศบาลและกรุงเทพมหานคร มีอัตราการอ่านเพิ่มขึ้นมากกว่าพื้นที่อื่น ขณะที่ภาคกลางเด็กเล็กมีอัตราการอ่านลดลงเล็กน้อย

1.2 ความถี่ของการอ่านนอกเวลาเรียน

เด็กเล็กที่อ่านมีความถี่ในการอ่านสัปดาห์ละ2 - 3 วัน มากที่สุด (ร้อยละ 44.0) รองลงมาคือ อ่านสัปดาห์ละ 4 - 6 วัน และอ่านททุกวันใกล้เคียงกัน (ร้อยละ 19.1 และ 17.9 ตามลำดับ)

ปี 2558 เด็กเล็กมีความถี่ในการอ่านลดลงจากปี 2556 คือ เด็กเล็กที่อ่านสสัปดาห์ละ 4 - 6 วัน และทุกวัน มีแนวโน้มลดลง ขณะที่กลุ่มอื่นที่มีความถี่ในการอ่านน้อยกว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

2. การอ่านของประชากร (อายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป)

2.1 อัตราการอ่านนอกเวลาเรียน/นอกเวลาทำงาน

จากผลการสำรวจปี 255 8 พบว่า ประชากรอายุตั้งแต่ 6 ปีขปีขึ้นไป มีอัตราการอ่านร้อยละ 77.7 ผู้ชายมีอัตราการอ่านสูงกว่าผู้หญิงเล็กน้อย (ร้อยละ 78.9 และ 76.5 ตามลำดับ) และเมื่อเปรียบเทียบกับการสำรวจที่ผ่านมา พบว่า อัตราการอ่านลดลงร้อยละ 4.1 จากปี 2556 ซึ่งมีแนวโน้มลดลงทั้งผู้ชายและผู้หญิง

เนื่องจากปี 2556 กรุงเทพมหานครได้รับเลือกเป็นเมืองหนังสือโลก หน่วยงานภาครัฐและเอกชนมีการจัดกิจกรรมรณรงค์ส่งเสริมการอ่านอย่างจริงจังมากกว่าทุกปีในหลายพื้นที่ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด จึงส่งผลให้อัตราการอ่านของประชากร ปี 2556 สูงมากกว่าปกติ

เมื่อพิจารณาอัตราการอ่านตามเขตการปกครองและภาค พบว่า ประชากรที่อาศัยอยู่ในเขตเทศบาลมีอัตราการอ่านสูงกว่านอกเขตเทศบาล (ร้อยละ 82.9 และ 73.4 ตามลำดับ) กรุงเทพมหานคร มีอัตราการอ่านสูงที่สุด (ร้อยละ 93.5) สสูงกว่าภาคอื่นมากกว่าร้อยละ 15.0 ในขณะที่ภาคอื่นมีอัตราการอ่านใกล้เคียงกันประมาณ ร้อยละ 73.0 - 78.4

2.2 กลุ่มวัย

การอ่านของประชากรมีความแตกต่างกันตามวัย วัยเด็กและวัยเยาวชนมีอัตราการอ่านสูงใกล้เคียงกันคือร้อยละ 90.7 และ 89.6 รองลงมาคือ กลุ่มวัยทำงาน (ร้อยละ 79.1) แลและต่ำสุดคือ กลุ่มวัยสูงอายุ (ร้อยละ 52.8) และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างการสำรวจที่ผ่านมา พบว่า ปี 2558 การอ่านของประชากรทุกกลุ่มวัย มีอัตราการอ่านลดลงจากปี 2556

2.3 ระดับการศึกษา

จากผลการสำรวจ พบว่า การศึกษาและอัตราการอ่านมีความสัมพันธ์กันเชิงบวก กล่าวคือ ผู้มีระดับการศึกษาที่สูงกว่า มีอัตราการอ่านสูงกว่าผู้มีการศึกษาระดับต่ำกว่า

2.4 ประเภทของหนังสือที่อ่านนอกเวลาเรียน/นอกเวลาทำงาน

หนังสือพิมพ์เป็นประเภทของหนังสือที่มีผู้อ่านสูงสุด คือ ร้อยละ 67.3 รองลงมาคือ ข้อความในสื่อสังคมออนไลน์/SMS/E-mail (ร้อยละ 51.6) ตำรา/หนังสือ/เอกสาร/บทความที่ให้ความรู้ (ร้อยละ 50.2) วารสาร/เอกสารประเภทที่ออกเป็นประจำ (ร้อยละ 42.0) และหนังสือ/เอกสาร/บทความเกี่ยวกับคำสอนทางศาสนา (ร้อยละ 41.8) สำหรับนิตยสาร นวนิยาย/การ์ตูน/หนังสืออ่านเล่น และแบบเรียน/ตำราเรียนตามหลักสูตรมีผู้อ่านน้อยกว่าร้อยละ 40.0

คนที่มีวัยแตกต่างกัน มีความสนใจเลือกประเภทหนังสือที่อ่านแตกต่างกัน โดยวัยเด็กอ่านแบบเรียน/ตำราเรียนตามหลักสูตรสูงสุดถึงร้อยละ 96.6 รองลงมาคือ นวนิยาย/การ์ตูน/หนังสืออ่านเล่น (ร้อยละ 66.2) วัยเยาวชน อ่านข้อความในสื่อสังคมออนไลน์/SMS/E-mail สูงสุดถึงร้อยละ 83.3 รองลงมาคือหนังสือพิมพ์ (ร้อยละ 68.7)) ในขณะที่วัยทำงานส่วนใหญ่อ่านหนังสือพิมพ์ ร้อยละ 79.9 ลำดับรองลงมาคือ ข้อความในสื่อสังคมออนไลน์/SMS/E-mail (ร้อยละ54.6) สำหรับวัยสูงอายุส่วนใหญ่อ่านหนังสือ/เอกสาร/บทความเกี่ยวกับคำสอนทางศาสนาร้อยละ 76.2 รองลงมาคือ หนังสือพิมพ์ (ร้อยละ 59.8)

2.5 ประเภทเนื้อหาสาระที่อ่านนอกเวลาเรียน/นอกเวลาทำงาน

เนื้อหาสาระที่ผู้อ่านชอบอ่านมากที่สุด คือ ข่าว และ สารคดี/ความรู้ทั่วไป (รร้อยละ 48.5 เท่ากัน) รองลงมาคือ บันเทิง ความรู้วิชาการ และคำสอนทางศาสนา/บทสวดมนต์ (ร้อยละ 40.1 21.5 และ 13.7 ตามลำดับ) ส่วนเนื้อหาสาระประเภทอื่น มีผู้อ่านเพียงเล็กน้อย

เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2556 พบว่า ผู้อ่านสนใจอ่านสารคดี/ความรู้ทั่วไป และบันเทิงเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 12.1 และ 7.8 ตามลำดับ แต่อ่านข่าวลดลง ร้อยละ 5.8 ส่วนเนื้อหาประเภทอื่น มีร้อยละของผู้อ่านใกล้เคียงกับปี 2556

2.6 เวลาเฉลี่ยที่ใช้อ่านนอกเวลาเรียน/นอกเวลา ทำงาน

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไปทั้งหมด ใช้เวลาอ่านนอกเวลาเรียน/นอกเวลาทำงานเฉลี่ย 1 ชั่วโมง 6 นาทีต่อวัน (66 นาที) โดยกลุ่มเยาวชนใช้เวลาอ่าน มากที่สุด เฉลี่ย 1 ชั่วโมง 34 นาทีต่อวัน (94 นาที) กลุ่มวัยเด็กและวัยทำงานใช้เวลาอ่านเฉลี่ยต่อวันมากกว่า 1 ชั่วโมงเล็กน้อย ส่วนวัยสูงอายุใช้เวลาอ่าน น้อยที่สุดเฉลี่ย 44 นาทีต่อวัน

เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2556 พบว่า ทุกวัยใช้เวลาอ่านเพิ่มขึ้น แนื่องจากปี 2558 ได้เพิ่มการอ่านข้อความในสื่อสังคมออนไลน์/SMS/E-mail ด้วย โดยกลุ่มวัยเยาวชนใช้เวลาอ่านเพิ่มขึ้นมากที่สุดถึง 44 นาที ต่อวัน

2.7 วิธีการรณรงค์ให้คนรักการอ่าน

จากการสำรวจความคิดเห็นของประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป เกี่ยวกับวิธีการรณรงค์ให้คนรักการอ่าน พบว่าวิธีการรณรงค์ที่ได้รับการเสนอแนะมากที่สุด 5 ลำดับแรก คือ ปลูกฝังให้รักการอ่านผ่านพ่อ แม่/ครอบครัว (ร้อยละ 31.4) ให้สถานศึกษามีการรณรงค์ส่งเสริมการอ่าน (ร้อยละ 26.9) รูปเล่ม/เนื้อหาน่าสนใจ หรือใช้ภาษาง่าย ๆ (ร้อยละ 25.1)และส่งเสริมให้มีห้องสมุด/ห้องสมุดเคลื่อนที่/มุมอ่านหนังสือในชุมชน/พื้นที่สาธารณะ (ร้อยละ 20.7) และหาซื้อได้ง่าย/เข้าถึงง่าย (ร้อยละ 20.6)


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ